คุยกับน้องสาวคนสนิทแล้วรับปากว่า นั่งสรุปอาญาเสร็จเมื่อไหร่จะให้อ่าน แต่เห็นลายมือตัวเองแล้ว ละเหี่ยใจ เอาแบบนี้ก็แล้วกัน จะได้ทวนตัวเองอีกรอบ แถมยังอ่านรู้เรื่องกว่าด้วย
แต่อย่าคาดหวังอะไรมาก คนเขียนก็ไม่ได้เก่งอะไร แค่สรุปไว้อ่านเอง อาจมีศัพท์ไม่ค่อยวิชาการเท่าใดนักโผล่มาบ้างไม่มากก็น้อย
กฎหมายอาญา
กฎหมายอาญาแบ่งออกเป็นสามภาค ภาคทั่วไป ภาคความผิด และภาคลหุโทษ มาว่ากันตั้งแต่ต้นเลยดีกว่า
มาตรา ๑ เป็นบทนิยามศัพท์ และเรื่องอันจะออกสอบหัวข้อแรกเริ่มกันที่มาตรา ๒
การใช้กฎหมายอาญา
หมวดนี้เป็นหลักที่ว่า การกระทำจะต้องรับผิดเมื่อใดบ้าง หลักการมีอยู่ว่า
1. ตามมาตรา ๒ บัญญัติว่า "บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำในสิ่งที่กฎหมายขณะนั้นบัญญัติว่าเป็นความผิด และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย..."
ส่วนวรรคสองจะมีใจความสำคัญคือ ถ้าภายหลังมีกฎหมายยกเว้น(คือทำให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิดอีกต่อไป) ให้ถือว่าผู้กระทำไม่มีความผิด (ศาลต้องยกฟ้องตามปวิอ.มาตรา ๑๘๕) ถ้ามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ ให้ถือว่าไม่เคยต้องโทษ ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้โทษสิ้นสุด(คือต้องปล่อย)
สรุปคือ ถ้าสิ่งที่ทำมีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด ก็ต้องรับโทษ จนกว่าจะมีกฎหมายออกมาบอกว่า ไม่ผิดอีกต่อไป
......จบ
2. หลักตามมาตรา ๓ "กฎหมายย้อนหลังเป็นโทษไม่ได้.." แต่ย้อนหลังเป็นคุณได้ กล่าวคือ หากมีกฎหมายใหม่ออกมาแล้วกำหนดโทษใหม่หนักกว่าโทษเดิม ดังนี้จะนำโทษใหม่ไปเพิ่มโทษให้ผู้กระทำผิดก่อนวันที่กฎหมายใหม่ใช้บังคับไม่ได้ เช่น ไปทำร้ายร่างกายคนเมื่อ 1 มค 59 ศาลลงโทษจำคุกสองปี(ตามปอ.ม ๒๙๕ ทำร้ายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย จำคุกไม่เกินสองปี) ต่อมาสมมติมีกฎหมายใหม่เพิ่งบังคับเมื่อวานบอกว่า ให้การทำร้ายแบบนี้ต้องมีโทษอย่างสูงไม่เกินสามปี ดังนี้จะไปเพิ่มโทษจำเลยเป็นสามปีไม่ได้ ประเด็นสำคัญอื่นๆเช่น
- เฉพาะการเพิกถอนหรือบังคับกฎหมาย ไม่รวมการเพิกถอนหรือกฎการเลือกตั้ง
- เฉพาะกฎหมายอาญา หรือกฎหมายที่มีโทษทางอาญาเท่านั้น
- หลักคือ ไม่ว่าจะใหม่หรือจะเก่า หากเลือกได้ ต้องใช้ฉบับที่เป็นคุณมากกว่า เช่น โทษเบากว่า อายุความสั้นกว่า ลงแก่ผู้กระทำผิด
ขอบเขตการใช้กฎหมายอาญา
หลัก - โดยหลักแล้ว ศาลไทยจะลงโทษเหตุที่เกิดนอกราชอาณาจักรไทยไม่ได้ เว้นแต่เป็นกรณีที่มีจุดเกาะเกี่ยวอย่างใดอย่างหนึ่งกับราชอาณาจักรไทย ดังนี้
1. หลักเขตแดน
1.1 ผู้ใดกระทำผิดในราชอาณาจักรไทย ต้องรับโทษตามกฎหมายไทย ตามมาตรา ๔ วรรค ๑
1.2 การกระทำความผิดในเรือไทยหรืออากาศยาน(เครื่องบิน)ไทย ให้ถือว่ากระทำความผิดในราชอาณาจักรไทย ตามมาตรา ๔ วรรค ๒
เรือไทยหรืออากาศยานไทยในที่นี้ หมายถึง เรือหรือเครื่องบินซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย พูดอีกนัยหนึ่งคือ จดทะเบียนมีสัญชาติไทย
1.3 ส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทย
(1) มองที่การกระทำ - มีการตระเตรียมการ(กรณีกฎหมายบัญญัติว่าการตระเตรียมเป็นความผิด) การพยายาม การลงมือ หรือผล แต่ส่วนใดส่วนหนึ่งหรือมากกว่า เกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทย ตามมาตรา ๕
(2) มองที่ตัวบุคคล - มีผู้ใช้ ตัวการ หรือผู้สนับสนุน ในการกระทำผิดในราชอาณาจักร หรือถือว่ากระทำผิดในราชอาณาจักร แม้จะใช้ ร่วมมือ หรือสนับสนุนอยู่นอกราชอาณาจักร ก็ให้ถือว่าอยู่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๖
2. หลักบุคคล
2.1 ตามมาตรา ๘ กรณีความผิดเกิดนอกราชอาณาจักร แต่ผู้กระทำความผิด หรือ ผู้เสียหาย ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนไทย และฝ่ายที่เป็นผู้เสียหายหรือประเทศของผู้เสียหายขอให้ไทยลงโทษ ก็ลงโทษในประเทศไทยได้
ถามว่าความผิดใดบ้างที่ลงโทษในกรณีนี้ได้ คำตอบคือแทบทุกอย่าง ยกเว้น
- ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท
- พวกความผิดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ แขกบ้านเมือง ก่อการร้าย หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือต่อเจ้าพนักงาน ตั้งแต่มาตรา ๑๐๗ - ๒๑๖
- ความผิดฐานทำแท้ง
- ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
- ความผิดฐานบุกรุก
- ความผิดเกี่ยวกับศพ
- ความผิดลหุโทษ
2.2 ตามมาตรา ๙ กรณีเจ้าพนักงานของรัฐบาลไทยกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามมาตรา ๑๔๗ - ๑๖๖ และมาตรา ๒๐๐ - ๒๐๕ นอกราชอาณาจักร ต้องรับโทษในราชอาณาจักร
3. ข้อยกเว้น
ตามมาตรา ๗ ความผิดบางประการ แม้ไม่เกิดในราชอาณาจักร แม้ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนไทย ศาลไทยก็สามารถลงโทษได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ความผิดที่แม้กระทำนอกราชอาณาจักร ก็ต้องรับโทษในราชอาณาจักร มีดังต่อไปนี้
3.1 ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร ตั้งแต่มาตรา ๑๐๗ - ๒๑๖ รวมไปถึงความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามมาตรา ๑๓๕/๑ - ๑๓๕/๔
3.2 ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลงเงินตรา แสตมป์รัฐบาล ตั๋วเงิน และใบหุ้น ตามมาตรา ๒๔๐ - ๒๔๙, ๒๕๔, ๒๕๖, ๒๕๗ และ ๒๖๖(๓) และ (๔)
3.3 ความผิดด้านการค้ามนุษย์เพื่อการอนาจาร พูดง่ายๆคือ ความผิดเกี่ยวกับการค้าโสเภณี ตามมาตรา ๒๘๒ และ ๒๘๓
3.4 ความผิดฐานปล้นทรัพย์และชิงทรัพย์ในทะเลหลวง
แถม : ความผิดต่อไปนี้หากเกิดนอกราชอาณาจักร จะลงโทษในราชอาณาจักรไม่ได้เลย เนื่องจากไม่ได้ถูกบัญญัติไว้ในมาตรา ๗ ถึง ๙ เลย นั่นคือ ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม(มาตรา ๑๖๗ ถึง ๑๙๙) ความผิดเกี่ยวกับศาสนา(มาตรา ๒๐๖ ถึง ๒๐๘) ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน(มาตรา ๒๐๙ ถึง ๒๑๖) ความผิดเกี่ยวกับการทำแท้ง(มาตรา ๓๐๑ ถึง ๓๐๕) และความผิดฐานบุกรุก(มาตรา ๓๖๒ ถึง ๓๖๖)
หลักการลงโทษ
กฎหมายอาญามีหลักอยู่หลักหนึ่งที่ว่า "บุคคลไม่ต้องรับผิดซ้ำสองในการกระทำครั้งเดียวของตน" และหลักนี้ได้รับการนำมาใช้ในหมวดว่าด้วยการใช้กฎหมายอาญาเช่นกัน กล่าวคือ กรณีซึ่งบุคคลได้กระทำผิดและถูกลงโทษหรือพิพากษาว่าไม่มีความผิดจากการกระทำใดการกระทำหนึ่งของตนมาแล้ว ศาลอีกประเทศหนึ่งจะมาลงโทษผู้นั้นหรือตัดสินเป็นอื่น(จากพยานและหลักฐานเดียวกัน)เพื่อเอาผิดบุคคลนั้นอีกไม่ได้
หลักการดังกล่าวได้แตกออกเป็นสองกรณี ตามมาตรา ๑๐ และ ๑๑ โดยตามมาตรา ๑๐ นั้นเป็นกรณีของผู้กระทำผิดนอกราชอาณาจักร ได้รับโทษนอกราชอาณาจักร ต่อมาเข้ามาในราชอาณาจักร ส่วนกรณีตามมาตรา ๑๑ นั้นเป็นกรณีของผู้กระทำผิดในราชอาณาจักรแต่รับโทษนอกราชอาณาจักร ต่อมาเข้ามาในราชอาณาจักร
อย่างไรก็ดี หลักดังกล่าวมีข้อยกเว้นเช่นกัน ข้อยกเว้นแรกคือ กรณีซึ่งผู้กระทำผิดถูกพิพากษาให้ลงโทษแล้ว แต่ยังไม่พ้นโทษ หรือยังรับโทษไม่ครบ แล้วเข้ามาในอีกประเทศหนึ่ง ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดก็ได้ หรือจะไม่ลงโทษเลยก็ได้
ข้อยกเว้นที่สองของมาตรา ๑๐ และ ๑๑ คือ ความผิดอันบัญญัติไว้ในมาตรา ๗ อันเป็นความผิดซึ่งแม้ทำนอกราชอาณาจักรก็ต้องรับโทษในราชอาณาจักร ความผิดเหล่านี้นอกจากจะสามารถพิพากษาลงโทษได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องมีจุดเกาะเกี่ยวแล้ว ยังสามารถพิพากษาลงโทษซ้ำสองในความผิดครั้งเดียวได้อีกด้วย
เฮ้ออ จบเสียที สำหรับเรื่องใหญ่เรื่องแรกซึ่งสามารถออกสอบได้