ประมาณแปดปีที่แล้ว(ปี 2551)ได้มีการออกกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้รับสินค้าและบริการได้รับความคุ้มครอง ซึ่งทางภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวกับกฎหมายก็ได้มีการตอบรับกฎหมายนี้ด้วย เช่น บรรจุเป็นหลักสูตรในมหาวิทยาลัย(มหาฯลัยผู้เขียนก็เป็นหนึ่งในนั้น)
นอกจากในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว ทางอัยการและผู้พิพากษาก็ให้การตอบรับเช่นกัน ในปัจจุบันนี้ วิชานี้ได้กลายเป็นวิชาเลือกหนึ่งในการสอบคัดเลือกเป็นผู้ช่วยอัยการและผู้ช่วยผู้พิพากษาด้วย
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงนั่งสรุปหลักวิชานี้ขึ้นมาตอนเตรียมสอบอัยการ และคิดว่าอาจเป็นประโยชน์อยู่บ้างหากจะนำมาเผยแพร่ในบล็อกด้วย เหมือนเช่นเคย เรื่องนี้เขียนขึ้นจากโน้ตย่ออ่านเองนะคะ โปรดอย่าคาดหวังว่ามันจะสมบูรณ์แบบอะไร ผู้เขียนก็สรุปได้เท่าที่ตัวเองเข้าใจน่ะแหละ
วิ.คุ้มครองผู้บริโภค
ขอบเขต : ครอบคลุมข้อพิพาทเกี่ยวกับสินค้าและบริการ ระหว่างผู้ประกอบธุรกิจ กับ ผู้บริโภค
วันบังคับใช้ : มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 23 สิงหาคม 2551
ผู้บริโภค (end-users)
1. คือ ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการไปเพื่อใช้เป็นการส่วนตัว ไม่ใช่เพื่อธุรกิจ เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า end-users
2. คำว่า "ซื้อ" รวมถึงการได้รับแจกด้วย คือเป็นการได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะเสียค่าตอบแทนหรือไม่
3. "ไม่ใช่เพื่อธุรกิจ" หมายถึง เพื่อใช้เอง ไม่ใช่การทำตัวเป็นคนกลางนำสินค้าหรือบริการนั้นไปให้ผู้อื่นใช้อีกทอดหนึ่ง
4. รวมสัญญาประกันภัย ถือว่าบริษัทประกันภัยเป็นผู้ประกอบธุรกิจ และผู้ซื้อประกันภัยเป็นผู้บริโภคด้วยเช่นกัน
5. ความคุ้มครองครอบไปถึงผู้บริโภคจากพระราชบัญญัติสินค้าไม่ปลอดภัยด้วย
ผู้ประกอบธุรกิจ (Business Operators)
1. คือ ผู้ขาย หรือผู้ให้บริการใดๆในทางการค้า เป็นปกติธุระ เช่น ผู้ผลิต ผู้ผลิตเพื่อขาย ผู้นำเข้า ผู้ขาย ผู้ใช้ชื่อทางการค้าแก่สินค้าหรือบริการนั้นๆ
2. ต้องมีอาชีพหรือประกอบกิจการนั้นเป็นปกติ ถ้าทำชั่วคราว หรือทำไม่กี่ครั้ง ไม่ถือเป็นผู้ประกอบธุรกิจ
3. รวมการให้บริการทางการแพทย์ด้วย
คดีผู้บริโภคคือ
1. คดีแพ่งที่พิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายอันเนื่องมาจากการใช้สินค้าและบริการ เช่น ไปนวดหน้าแล้วสิวเห่อกว่าเดิม แบบนี้ผู้รับบริการฟ้องผู้นวดหน้าได้ตามกฎหมายนี้
2. คดีแพ่งเกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าไม่ปลอดภัย เช่น ซื้ออาหารมารับประทานแล้วท้องเสีย หากพิสูจน์ได้ว่าเกิดเพราะอาหารดังกล่าว ผู้ซื้อก็สามารถฟ้องผู้ขายตามกฎหมายนี้ได้
3. คดีอันเกี่ยวพันกับคดีตามข้อ 1 หรือ 2 เช่นตามตัวอย่างข้างต้น ถ้าตัวผู้ประกอบการมีการทำประกันสินค้าไว้ และผู้ซื้อรู้ ผู้ซื้อฟ้องผู้รับประกันสินค้าดังกล่าวในคดีนี้ด้วยได้เลย
4. คดีซึ่งเป็นคดีผู้บริโภคตามความหมายนี้เช่นกันซึ่งดูผิวเผินอาจนึกไม่ถึงนั่นคือ คดีซึ่งผู้ให้บริการสินเชื่อหรือบัตรเครดิตฟ้องลูกหนี้บัตรเครดิต(ซึ่งก็คือลูกค้าตัวเอง)ให้ชำระเงินที่ค้างจ่าย นี่ถือเป็นข้อพิพาทเกี่ยวด้วยสินค้าและบริการเช่นกัน
........เยอะด้วยนะ จะบอกให้ คดีพวกนี้น่ะ
5. ข้อพิพาทดังกล่าวต้องปรากฎว่า ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้บริโภค และอีกฝ่ายเป็นผู้ประกอบการ ถ้าสืบไปๆแล้วพบว่า เป็นผู้บริโภคทั้งคู่ เป็นผู้ประกอบการทั้งคู่ อะไรแบบนี้ ไม่ถือเป็นคดีผู้บริโภค
6. ต้องเป็นข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องหรือเกิดจากตัวสินค้าและบริการโดยตรง ไม่ใช่เกิดจากเหตุละเมิดอย่างอื่น เช่น ซื้อรถมาแล้วจู่ๆรถเสียเอง อันนี้เอากลับไปเคลมได้ หรือฟ้องได้
แต่ถ้าเสียเพราะมีคนมาชน แบบนี้ต้องฟ้องคนชนนะค้าาา ไม่เป็นคดีผู้บริโภค
ลักษณะพิเศษของการดำเนินคดีผู้บริโภค
โดยหลักแล้ว คดีผู้บริโภคนั้นคือคดีแพ่งนี่แหละ แต่มีลักษณะพิเศษดังต่อไปนี้
1. ลักษณะคดี คดีผู้บริโภคเป็นคดีระบบไต่สวนที่ผู้พิพากษามีอำนาจดำเนินการหาความจริงได้เต็มที่
2. การฟ้อง สามารถยื่นฟ้องด้วยวาจาหรือจะฟ้องเป็นหนังสือก็ได้
3. ว่าด้วยเรื่องเขตอำนาจ หากเป็นกรณีผู้ประกอบธุรกิจฟ้องผู้บริโภคแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจสามารถฟ้องได้ที่เดียวเท่านั้นคือ ภูมิลำเนาของผู้บริโภค จะฟ้องศาลในเขตอำนาจอื่นไม่ได้
ส่วนกรณีผู้บริโภคฟ้องผู้ผลิตนั้นใช้หลักตาม ปวิพ มาตรา ๔ ปกติ
4. ว่าด้วยเรื่องค่าธรรมเนียม ผู้บริโภคได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงในการดำเนินคดี แต่ไม่รวมค่าธรรมเนียมที่ต้องรับผิดในชั้นที่สุด
เว้นแต่ศาลเห็นว่าผู้บริโภคไม่สุจริต เรียกร้องมากเกินไป ประพฤติตัวไม่เรียบร้อยในศาล หรือกรณีอื่นๆตามที่เห็นสมควร
5. การพิจารณา ให้ศาลกำหนดวันนัดไม่เกิน 30 วันนับแต่รับฟ้อง โดยเริ่มคดีจากการนัดมาไกล่เกลี่ยก่อน(และถือว่าวันนี้คือวันสืบพยานวันแรกที่คู่ความต้องมาศาล) ถ้าคุยกันรู้เรื่องก็จบ ถ้าไม่จบจะให้จำเลยให้การ และเริ่มสืบพยานต่อไป
6. ในส่วนของพยาน กฎหมายผู้บริโภคให้ถือว่าใบปลิว โบรชัว หรือสิ่งต่างๆที่มีคำโฆษณาของสินค้าหรือบริการนั้นๆเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาที่ผู้บริโภคสามารถนำมาอ้างได้หากที่โฆษณากับที่ได้รับไม่ตรงกัน
จะซื้ออะไรก็เก็บแผ่นปลิวดีดีนะ หลักฐานในการดำเนินคดีชั้นเลิศนะน่ะ
7. เมื่อใดก็ตามที่มีการเริ่มเจรจากันระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ ให้อายุความในการดำเนินคดีสะดุดหยุดอยู่จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะมีการบอกเลิกการเจรจา
อายุสะดุดหยุดอยู่นั้นคล้ายกับการกด pause ในเครื่องเล่นต่างๆค่ะ ไม่เหมือนสะดุดหยุดลงที่ต้องเริ่มนับใหม่ เอ้อ ต้องบอกว่า สะดุดหยุดลงนั้นเหมือนกดปุ่ม restart สินะ อิอิ (เผื่อใครไม่อยากกลับไปอ่านเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงใหม่ เราจะย่อให้เข้าใจง่าย 555)
8. อายุความ ในกรณีฟ้องว่าสินค้าหรือบริการที่รับนั้นเป็นพิษต่อร่างกาย ให้ฟ้องภายในสามปีนับแต่อาการนั้นแสดงผล แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่รู้ถึงความเสียหาย
คือให้ดูกันยาวๆนั่นเองว่าไอ้ที่กินเข้าไปน่ะ ค้างและทำอันตรายได้เมื่อไหร่แค่ไหน....
9. หากผู้ประกอบธุรกิจต้องรับผิด ศาลสามารถพิพากษาให้ผู้ถือหุ้นหรือหุ้นส่วนต้องร่วมรับผิดกับตัวผู้ประกอบธุรกิจ(ซึ่งหลายครั้งเป็นพวกบริษัทหรือที่เรียกว่า นิติบุคคล)ได้ หากปรากฎว่านิติบุคคลดังกล่าวจัดตั้ง ดำเนินการไม่สุจริตมาแต่ต้น หรือมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปเป็นประโยชน์แก่บุคคลใดจนไม่พอชำระหนี้
10. ในการรับผิด โทษที่เพิ่มเข้ามาซึ่งพิเศษกว่าคดีแพ่งทั่วไป
10.1 ศาลมีอำนาจสั่งผู้ประกอบการให้แก้ไข ซ่อมแซม ตัวสินค้าได้ แต่หากแก้ไม่ได้หรือแก้ไปก็เป็นอันตราย ศาลมีอำนาจสั่งให้เปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคได้
10.2 ศาลมีอำนาจสั่งให้เรียกสินค้ากลับคืน ห้ามผลิตสินค้าเพื่อนำเข้าหรือจำหน่าย และสั่งให้ประกาศเตือนอันตรายแก่ผู้บริโภคได้
10.3 ศาลมีอำนาจเรียกค่าเสียหายเชิงลงโทษ (Punitive Damages) จากผู้ประกอบการได้หากพบว่าผู้ประกอบการไม่สุจริตหรือมีการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยถืออัตราดังนี้
หากค่าเสียหายไม่เกิน 5 หมื่นบาท : เรียกได้ไม่เกิน 5 เท่าของความเสียหายที่แท้จริง
หากค่าเสียหายเกิน 5 หมื่นบาท : เรียกได้ไม่เกิน 2 เท่าของความเสียหายที่แท้จริง
นี่คือหลักคร่าวๆของคดีผู้บริโภคที่ทำให้คดีผู้บริโภคแตกต่างจากคดีทั่วไปค่ะ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อยนะคะ สวัสดีค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น