วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
การดำเนินคดีในทางอาญา (1) : ผู้เสียหาย
หลังจากฟ้องคดีแพ่งกันไปแล้ว เคราะห์หามยามร้าย เราอาจต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีในทางอาญา....เพราะถูกละเมิดทางใดทางาหนึ่ง
......เอาเฉพาะถูกละเมิดก่อนนะ ประเภทไปละเมิดเขานี่ ขอติดไว้ก่อนละกันว่าจะเขียนถึงยังไงดี
จะทราบมาก่อนหรือไม่ทราบมาก่อนก็แล้วแต่ สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรจะทำ นั่นคือยึดหลักการฟ้องตามหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแบบ 100 เปอร์เซนต์
ทำแบบนั้นไม่ได้ มันไม่เหมือนกัน!!!
แม้หลักการดำเนินคดีอาญาบางอย่างจะนำหลักการของทางแพ่งมาใช้โดยอนุโลม แต่โดยหลักแล้ว การดำเนินคดียังคงต้องเดินตามหลักของกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอยู่
แล้วมันทำยังไงล่ะ???
ไล่ดูตามด้านล่างเอาเลย
จุดเริ่มต้นแห่งคดีอาญา
จุดเริ่มต้นของการฟ้องคดีแพ่ง มาจากการเกิดข้อโต้แย้งสิทธิหรือความต้องการใช้สิทธิในทางแพ่ง เช่นเดียวกัน จุดเริ่มต้นในทางอาญานั้นมาจาก การมีความผิดในทางอาญาเกิดขึ้น...
และมีใครสักคนหนึ่งเป็นผู้เสียหาย
ความมันก็เริ่มตรงนี้แหละ
ส่วน...ความผิดทางอาญานั้นก็เช่น ฆ่าคนตาย ทำร้ายร่างกาย ลักขโมย จี้ปล้น ฉ้อโกง หมิ่นประมาท บุกรุก ฯลฯ
ตัวอย่างของความผิดทางอาญา ท่านสามารถหาได้จากหนังสือพิมพ์ทั่วไปในหน้าอาชญากรรม หรือไม่ก็หน้าหนึ่งนะคะ
เอาล่ะ มีความผิดทางอาญาเกิดขึ้น และมีใครสักคนหนึ่ง ต้องเสียหายจากการนี้
เอาไงต่อดี??
แจ้งความ....?
ถูกต้อง ทางเลือกหนึ่งของการจัดการปัญหา คือไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่า เกิดอะไรขึ้น จากนั้นก็ให้ทางการดำเนินการสอบสวนหาตัวคนร้ายมาจัดการ เอ้อ มาดำเนินคดีและ/หรือ ลงโทษกันต่อไป
อันที่จริง เราไม่ต้องไปแจ้งความก็ได้นะ เพราะถ้าเราเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงแล้วล่ะก็ เรามีอำนาจดำเนินคดีได้เอง นั่นคือ เราสามารถฟ้องศาลให้ศาลลากตัวคนผิด(แต่ดูเหมือนการลากตัวก็ต้องใช้ตำรวจอยู่ดีแฮะ)มาลงโทษได้เองเลย
คำถามคือ แล้วเราเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงหรือเปล่า??
มีข้อพิจารณาดังนี้
ผู้เสียหาย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) ผู้เสียหาย หมายถึง ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำผิดทางอาญาฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งผู้มีอำนาจจัดการแทน...
นั่นคือนิยามตามกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติแล้ว จะเป็นผู้เสียหายได้จะต้องมีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นอีกอย่าง นั่นคือ ต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย อันหมายถึง ไม่มีส่วนร่วมในการการทำความผิดดังกล่าวนั้นด้วย
มาพิจารณากันทีละข้อ
1. จะเป็นผู้เสียหายได้ ต้องมีสภาพบุคคล : เพราะตัวบทใช้คำว่า "ผู้ที่" ดังนั้นจึงต้องเป็น "คน" ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลก็ตาม
บริษัทต่างๆ นั้นโดนละเมิดกฎหมายได้
แต่สัตว์และพืชซึ่งไม่มีเจ้าของ แม้จะโดนฆ่า โดนตัด อย่างไร ก็ไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีอาญา
....แต่จะเอาผิดคนทำได้ไหมต้องดูว่ามีกฎหมายอื่นๆห้ามทำไว้หรือเปล่า
2. ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิด : คือผู้ที่ได้รับความเสียหายจริงๆ ไม่ใช่บุคคลอื่น
ทำร้ายลูก ลูกเป็นผู้เสียหาย ส่วนพ่อแม่ แม้จะอ้างว่าเจ็บกว่า ก็ไม่ถือเป็นผู้เสียหายนะคะ (เว้นแต่ถูกฟันไปด้วย ก็อีกเรื่อง)
และการกระทำหนึ่งๆอาจมีผู้เสียหายคนเดียวก็ได้ หรือมีหลายคนก็ได้ เช่นเรื่องทรัพย์ สมมติเราเช่าหนังสือมาอ่าน แล้วมีคนมาขโมยหนังสือเล่มนั้น กรณีนี้จะมีผู้เสียหายสองคน หนึ่งคือเรา ผู้เช่าและใช้สอย(อ่าน)หนังสือ สองคือร้านเช่าหนังสือ ซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริง
เพราะตามแนวฎีกา ผู้มีสิทธิครอบครองทรัพย์ถือเป็นผู้เสียหายด้วยในคดีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์
3. เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย : คือไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด เช่นพวกโกงน่ะ แบบมีคนมาหลอกว่าถ้าให้เงินไปจะวิ่งเต้นให้ ต่อมาคนอาสาวิ่งเต้นเชิดเงินหนี แบบนี้คนให้ไม่เป็นผู้เสียหายนะคะ ถือว่ารู้เห็นเป็นใจให้มีการวิ่งใต้โต๊ะ
เห็นชัดกว่านั้นก็พวกนักเรียนนักเลง ตีกันตรงป้ายรถเมย์ ไรงี้ กรณีนี้ต่างฝ่ายต่างไม่มีสิทธิฟ้องอีกฝ่ายนะ เพราะสมัครใจทะเลาะวิวาท ซึ่งถือได้ว่ามีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วย
เมื่อไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่แท้จริง
4. ผู้มีอำนาจจัดการแทน มาตรา 2(4) ได้แจงไว้สามมาตราด้วยกัน
4.1 มาตรา 4 : "สามีมีสิทธิฟ้องคดีแทนภริยาได้ ต่อเมื่อได้รับอนุญาตโดยชัดแจ้งจากภริยา"
คาดว่าน่าจะมาจากสมัยโบราณที่สามีเป็นช้างเท้าหน้า สามารถจัดการอะไรๆแทนคู่ตัวเองได้ แม้สมัยนี้ไม่ได้จำกัดสิทธิผู้หญิงอีกต่อไป แต่ก็ยังเปิดโอกาสให้ผู้เป็นสามีได้ทำหน้าที่อยู่เช่นเดิม
อ่อ กลับกันไม่ได้นะ ต่อให้ได้รับอนุญาตชัดแจ้งจากสามี ภริยาก็ไม่มีสิทธิฟ้องคดีแทน
...เว้นแต่มอบอำนาจ...
เกือบลืม ความเป็นสามีภริยาต้องชอบด้วยกฎหมายนะคะ คือต้องจดทะเบียนสมรสเท่านั้น
4.2 มาตรา 5 : แยกเป็นสามอนุด้วยกัน
(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล กรณีความผิดอาญาเกิดแก่ผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถ : ท่าทางต้องอธิบายกันยาว....
ผู้แทนโดยชอบธรรม : โดยทั่วไป คือแม่ และพ่อที่ชอบด้วยกฎหมายค่ะ(พ่อที่จดทะเบียนสมรสกับแม่ หรือรับรองบุตรแล้วตามกฎหมาย) เว้นแต่กรณีไม่มีพ่อแม่ ผู้แทนโดยชอบธรรมกรณีนี้อาจเป็นบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากศาลให้ดูแลผู้เยาว์แทน ซึ่งอาจเป็นใครก็ได้
...และเผื่อใครสงสัย บุคคลผู้เบ่งท้องคลอดเด็กออกมาถือเป็นบุพการีโดยชอบด้วยกฎหมายเสมอ
ผู้เยาว์ : คือผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรือคือบุคคลที่อายุยังไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์
ผู้ไร้ความสามารถ : คือผู้ซึ่งไม่สามารถดูและตัวเองได้ และ ถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถแล้ว (ต้องศาลสั่งเท่านั้น)
เช่น ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่จำอะไรไม่ได้เลย คนพิการ หรือผู้ประสบเหตุเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายนิทราทั้งหลาย และ เอ้อ คนบ้า ก็รวมด้วย แต่ศาลต้องสั่งให้เขาเป็นบุคคลไร้ความสามารถก่อนเท่านั้น
ผู้อนุบาล : (ตั้งใจอธิบายผู้ไร้ฯก่อน เกรงว่าขึ้นผู้อนุบาลเลยจะงง) คือผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาลให้ดูแลและทำการแทนผู้ไร้ความสามารถ
บุคคลผู้จัดการแทนเหล่านี้จัดการแทนได้ทุกความผิดที่เกิดแก่ผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถ โดยมีข้อแม้ประการเดียวคือ ตัวผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถต้องยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ถ้าตายแล้วจะไม่เข้ากรณีที่ 1 นี้
(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้ : เริ่มอธิบายศัพท์ก่อนเลย
ผู้บุพการี : พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด(พ่อแม่ของปู่ย่าตายาย) คือ เข้าใจอารมณ์ป่ะ สายของผู้ให้กำเนิดไล่ขึ้นไปอ่ะ
....และในกรณีที่สองนี้ถือสายเลือดกันตามความเป็นจริง....
ผู้สืบสันดาน : ลูก หลาน เหลน ลื่อ ตรงข้ามกับบุพการี อันนี้ไล่ลง และถือตามความเป็นจริงเช่นกัน
สามีหรือภริยา : พูดง่ายๆคือ คู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย คือที่จดทะเบียนสมรสโดยชอบแล้ว
กรณีนี้เป็นการจัดการทางคดีแทนบุคคลซึ่งถูกละเมิดทางอาญาจนไม่สามารถดำเนินคดีด้วยตนเองได้ และจำกัดสิทธิเฉพาะความผิดทางอาญาที่ทำให้ตัวผู้เสียหายไม่สามารถจัดการได้เองเท่านั้น
เช่น ลูกถูกฆ่าตาย พ่อแม่แจ้งความ ฟ้องศาล ดำเนินคดีแทนลูกในความผิดฐานฆ่า(ลูกตัวเอง)ได้เลย
แต่ ถ้าลูกข่มขืน แล้วฆ่าตัวตายเอง อันนี้พ่อแม่ฟ้องฐานข่มขืนแทนลูกไม่ได้นะ เพราะลูกไม่ได้ตายด้วยเหตุถูกข่มขืน
หรือ ลูกถูกโกง กำลังจะไปแจ้งความดันถูกรถชนตาย อันนี้พ่อแม่จะดำเนินคดีแทนลูกฐานฉ้อโกงก็ไม่ได้เช่นกัน
(มีใครโมโหกับช่องว่างของกฎหมายที่สามารถปล่อยคนร้ายลอยนวลได้ง่ายๆแบบคนเขียนมั้ย?)
(3) ผู้จัดการแทนนิติบุคคล สำหรับความผิดที่กระทำต่อนิติบุคคล : ตัวอย่างง่ายๆเช่น มีพนักงานโกงเงินของบริษัทไป ตอนนี้บริษัทเป็นผู้เสียหายที่ถูกโกงเงินละ แต่นิติบุคคลไม่ใช่คนธรรมดาที่สามารถทำโน่นทำนี่ได้เองแบบคนทั่วไปถูกไหม แล้วทำไง
คำตอบคือ ก็ให้ผู้แทนหรือตัวแทนของนิติบุคคล เช่นกรรมการ หรือเจ้าของบริษัทอาจจะไปจ้างทนายเข้ามา เพื่อดำเนินคดีนี้แทน ก็ได้ จบ
4.3 มาตรา 6 : ผู้แทนเฉพาะคดี กรณีที่ความผิดเกิดแก่ ผู้เยาว์(1) บุคคลวิกลจริต(2) หรือผู้ไร้ความสามารถ(3) แต่บุคคลเหล่านี้ไม่มีผู้จัดการแทน หรือมี แต่ผู้จัดการแทนดังกล่าวไม่สามารถจัดการแทนได้ ด้วยเหตุต่างๆ เช่น ไม่รู้หายหัวไปไหน หรือผลประโยชน์ขัดกัน กรณีนี้ญาติหรือผู้เกี่ยวข้องของผู้เสียหายสามารถร้องขอต่อศาลให้เขาหรือใครก็ตามเป็นผู้จัดการแทนผู้เสียหายได้
เช่น พ่อเลี้ยงทำร้ายลูกเลี้ยง หากแม่หลงหรือกลัวสามีมากจนไม่กล้าทำอะไร ยายอาจร้องต่อศาลให้ตั้งตัวเองดำเนินการฟ้องพ่อเลี้ยงแทนตัวแม่ก็ได้
ข้อแม้ประการเดียวของมาตรานี้คือ ตัวผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถต้องยังมีชีวิตอยู่ เพราะถือว่าอำนาจตรงนี้อิงกับตัวผู้เสียหายโดยตรง หากผู้เสียหายตายอำนาจจัดการแทนย่อมหมดไปด้วย
นั่นคือข้อพิจารณาคร่าวๆว่า เราเป็นผู้เสียหายและมีสิทธิดำเนินคดีนี้หรือไม่ หากพิจารณาแล้วพบว่าคุณสมบัติครบ ก็เดินหน้าข้อต่อไปได้เลย...
ชักจะยาว ต่อตอนหน้าละกันนะคะ...
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น