วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การดำเนินคดีอาญา (2) : แจ้งความ




     เอาล่ะ  ในที่สุดเราก็รู้แล้วว่า  เราเป็นผู้เสียหายในทางอาญาจริงๆ  งั้น  เราก็ควรลงมือดำเนินคดีกันได้แล้ว  มัวแต่คอยท่าไป  คดีขาดอายุความขึ้นมา  เราจะหมดสิทธิ์นำตัวคนผิดมาลงโทษ

     ยังไม่อยากฟ้องศาล  งั้นเริ่มที่การแจ้งความละกัน


     คำถามต่อไป  แล้วมันต้องทำยังไงบ้างล่ะ???

     มาว่ากันทีละขั้น



     แจ้งที่ไหนและกับใคร

     คนเรามักเข้าใจว่า  จะแจ้งความต้องไปโรงพัก  หรือชื่อเต็มคือ  สถานีตำรวจ  ซึ่งก็ไม่ผิด  แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

     ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา 123  บัญญัติว่า  "ผู้เสียหายอาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้..."  

     แล้วพนักงานสอบสวนคือใครกันล่ะ?


     นิยามศัพท์ตามมาตรา 1  มีว่า  พนักงานสอบสวนคือ  เจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายให้มีอำนาจและหน้าที่ในการสอบสวน
     ...โอเค  ขอบคุณมาก  มึนตึ้บ...

     ในทางปฏิบัติน่ะนะ  ผู้ที่รับการร้องทุกข์หรือการแจ้งความของเราได้เนี่ย  นอกจากตำรวจแล้วก็มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองด้วย  ซึ่งได้แก่  ผู้ใหญ่บ้าน  กำนัน  นายอำเภอ  ปลัดอำเภอ  หรือผู้ว่าราชการจังหวัด
 
     แต่ถ้าหาสำนักงานยุ่งยากนัก  ก็เดินเข้าโรงพักไปเลยก็ได้  ง่ายดี  


     แล้วก็  แม้กฎหมายจะกำหนดไว้ว่า  ตำรวจชั้นร้อยตำรวจตรีเท่านั้นที่มีอำนาจสอบสวนได้  แต่การแจ้งความไม่ได้อยู่ในขั้นตอนของการสอบสวน  ดังนั้น  เราสามารถแจ้งความกับตำรวจได้ทุกคนและทุกยศ

     เดินเข้าโรงพักไป  เห็นตำรวจคนไหนว่างก็เดินเข้าไปเลย  ไม่ต้องถามยศหรอก  ยุ่งยาก  


     เกือบลืม  เจ้าหน้าที่อื่นนอกจากตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองไม่มีอำนาจรับแจ้งความนะคะ  อย่าได้ไปแจ้งกับพวกรัฐมนตรีหรือนายกเชียว  ท่านไม่มีอำนาจนั้น
     ไปแจ้งผู้พิพากษาก็ไม่ถือว่าแจ้งความ  ถ้าอยากไปศาลขนาดนั้น  ฟ้องคดีไปเลยเถอะ
   

    สรุปว่าไปแจ้งกับตำรวจที่สถานีตำรวจเนอะ  จะได้ไปหัวข้อต่อไป  



     แจ้งเมื่อไหร่

     สั้นๆนะ  "เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้"  

     ดังที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่า  การดำเนินคดีทางอาญานั้นมีอายุความในการดำเนินคดีกำกับอยู่  ซึ่งหากเราปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยไม่ทำอะไรเลย  จนหมดเวลาฟ้อง/แจ้งความ/ดำเนินคดี

     ต่อให้อีกฝ่ายผิดจริง  หลักฐานครบ  ชั่วช้าแค่ไหน  

     ยังไงก็หลุด...นะคะ  (อายุความเป็นปัญหาความสงบเรียบร้อยในทางอาญาเสียด้วยสิ)

     ในฐานะปุถุชนธรรมดาผู้ยังละกิเลสไม่ได้มากนัก  เราคงไม่ใจดีขนาดปล่อยเวลาล่วงไปเพื่อให้อภัยผู้กระทำผิดหรอกใช่ไหม?

     แล้วอายุความนี่มันมีกำหนดเท่าไหร่บ้างล่ะ


     เอ้ออ  คือมันจะมีอายุความสั้น  กับอายุความยาวนะ  มาเริ่มที่อายุความสั้นกันก่อน  

     1.  ในกรณีความผิดต่อส่วนตัว  หากผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์หรือฟ้องคดีภายใน 3 เดือน นับแต่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำผิด  คดีเป็นอันขาดอายุความ  (ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96)

     ในกรณีที่ความผิดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดส่วนตัว  เราต้องร้องทุกข์หรือแจ้งความ  หรือฟ้องศาลภายใน 3 เดือน  นับแต่เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  และ  รู้ว่าใครเป็นคนทำ  ไม่อย่างนั้น  กฎหมายบัญญัติให้สิทธิในการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดสิ้นลงทันทีที่เลยระยะเวลา 3 เดือนที่อาจดำเนินการได้ไปแล้ว  

     ส่วนความผิดต่อส่วนตัวเป็นอย่างไรและมีอะไรบ้างนั้น..

     เชิญอ่าน  http://tryfaytry.blogspot.com/2016/03/blog-post_23.html  (ความผิดต่อแผ่นดิน กับ ความผิดต่อส่วนตัว)

     แต่หากเป็นความผิดต่อแผ่นดินแล้ว  อายุความจะเป็นไปตามข้อถัดไป  อย่างไรก็ดี  หากไม่แน่ใจว่าตัวเองโดนดีข้อหาอะไรกันแน่  แนะนำว่าวิ่งไปแจ้งความไว้ก่อนเถอะ  ประเดี๋ยวหวยออกเป็นความผิดต่อส่วนตัวมา  จะได้ไม่โดน  technical  knockout  ทางกฎหมาย


     2.  อายุความสำหรับดำเนินคดีทั่วไป

     กรณีนี้จะเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 95  ซึ่งระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับอัตราโทษของความผิด  ดังนี้

     การดำเนินคดีนั้น  จะต้องฟ้องและได้ตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษภายใน...ปี  มิฉะนั้นถือว่าขาดอายุความ  โดยมีระยะเวลาแปรผันตามอัตราโทษดังนี้

     -  20 ปี  สำหรับความผิดที่มีโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต  หรือระวางโทษจำคุก(ตั้งแต่)ยี่สิบปี(ขึ้นไป)

     -  15 ปี  สำหรับความผิดที่มีโทษจำคุกกว่า 7 ปี แต่ไม่ถึง 20 ปี

     -  10 ปี  สำหรับความผิดที่มีโทษจำคุกกว่า 1 ปี แต่ไม่ถึง 7 ปี

     -  5 ปี  สำหรับความผิดที่มีโทษจำคุกกว่า 1 เดือน แต่ไม่ถึง 1 ปี

     - 1 ปี สำหรับความผิดที่มีโทษจำคุกหนึ่งเดือนลงมา  หรือมีโทษอื่นที่ไม่ใช่จำคุก


     และหากเป็นความผิดต่อส่วนตัว  ท่านจะต้องผ่านข้อ 1 มาแล้ว  นั่นคือ  ต้องมีการแจ้งความหรือฟ้องคดีภายใน 3 เดือน มาก่อนแล้ว  มิเช่นนั้น  หมดสิทธิ์

     ส่วนความผิดต่อแผ่นดินนั้นจะใช้อายุความตามข้อนี้แต่ประการเดียว  เพราะฉะนั้น  อยากเอ้อระเหยลอยชายไปเรื่อยๆแล้วค่อยมาแจ้งความ/ฟ้อง 1 วันก่อนขาดอายุความ  ก็เรื่องของคุณ

     แต่  อย่าลืมนะ  ยิ่งเวลาล่วงไป  คนร้ายยิ่งตามยาก  และหลักฐานก็ยิ่งหายากนะ



     แจ้งยังไง  

     โอ้  ข้อนี้สำคัญ  ถ้าแจ้งไม่ถูกนี่  ไปต่อไม่ได้เลยนะ

     อันที่จริง  ในทางกฎหมายเนี่ย  เราไม่เรียกว่า "แจ้งความ"  หรอกนะ  เราเรียกการกระทำนี้ว่า  "การร้องทุกข์"  ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้กำหนดนิยามไว้ในมาตรา 1 (7) ว่า

     "คํารองทุกข” หมายความถึงการที่ผูเสียหายไดกลาวหาตอเจาหนาที่ตาม บทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้วามีผูกระทําความผิดขึ้น จะรูตัวผูกระทําความผิดหรือไมก็ ตามซึ่งกระทําใหเกิดความเสียหายแกผูเสียหาย และการกลาวหาเชนนั้นไดกลาวโดยมีเจตนาจะให ผูกระทําความผิดไดรับโทษ"

     เป็นผู้เสียหายหรือเปล่าก็กล่าวไปแล้ว  เจ้าหน้าที่คือใครก็อยู่ด้านบน  งั้นมาว่ากันต่อเรื่องลักษณะของคำร้องทุกข์


     "..กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีผู้กระทำผิดขึ้น และทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย.."  ก็คือไปเล่า  หรือแจ้งน่ะแหละ  ว่าเกิดอะไรขึ้น  แล้วตัวเองเสียหายอะไร  

     จากนิยามจะเห็นได้ว่า  เราไม่จำเป็นต้องรู้ตัวว่าใครเป็นผู้กระทำผิดก็ได้  แต่ทางที่ดี  ถ้ารู้อะไรเกี่ยวกับคนร้าย  เช่น  รูปพรรณสัณฐาน  ลักษณะ  รถ  ความสูง  อะไรแบบนี้ก็ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ไปให้หมด  เขาจะได้ตามจับคนร้ายได้ง่ายขึ้น


     "..โดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ"  ข้อนี้แหละสำคัญ  อย่าได้พูดเชียวว่า  "มาแจ้งไว้เป็นหลักฐานเฉยๆ"  "มาแจ้งเพราะกลัวขาดอายุความ"  "ไม่เอาเรื่องหรอกค่ะ  แค่มาแจ้งเฉยๆ"  หรืออะไรแนวๆนี้  เพราะกฎหมายจะถือว่าคุณไม่มีเจตนาจะให้คนทำผิดต้องรับโทษ 

     ส่งผลให้คำร้องทุกข์ดังกล่าวเป็นคำร้องทุกข์ที่ไม่ชอบตามกฎหมาย

     ผลน่ะเหรอ?  แยกได้เป็น 2 กรณี นะ


     1.  กรณีความผิดต่อแผ่นดิน  :  กรณีนี้ความเสี่ยงจะต่ำหน่อย  โอเค  แม้เราจะร้องทุกข์ไม่ถูก  เราก็ยังมีสิทธิฟ้องคดีเองได้  และพนักงานสอบสวนก็ยังมีสิทธิ์ทำการสอบสวนได้เช่นกัน  

     แต่  ตามมาตรา 122  นั้น  ได้ให้สิทธิพนักงานสอบสวนที่จะไม่ทำการสอบสวนได้  หากผู้เสียหายไม่ยอมร้องทุกข์ตามระเบียบ  ก็คือไม่ยอมร้องทุกข์ให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด

     สมมติถูกจี้ชิงทรัพย์  แล้วไปแจ้งความบอกว่า  "ไม่เอาเรื่องค่ะ"  ตำรวจก็อาจจะ  อ่ะ  งั้นไม่สอบสวนล่ะกัน  พอไม่สอบ  ก็ไม่ส่งให้อัยการฟ้อง  แล้วถ้าคนแจ้งกลับบ้านสบายใจนึกว่าเดี๋ยวอัยการก็ฟ้องให้  ไม่ทำอะไรเลย
     จบเห่ค่ะ  ไม่ต้องเป็นความกันเลย

     คิดจะเอาความก็ทำให้มันสุดๆไปเถ้ออ  อย่าอะไรครึ่งๆกลางๆเลยนะ


     2.  กรณีความผิดต่อส่วนตัว  :  อันนี้สิเสียหายหนัก  ตัดกรณีผู้เสียหายฟ้องเองไปก่อนนะ 

     สมมติถูกหมิ่นประมาท(ใช่ค่ะ  หมิ่นประมาทเป็นความผิดต่อส่วนตัว)  ไปแจ้งแบบ..ข้างบน  ไม่แสดงเจตนาเอาคนร้ายมาลงโทษ  ถือว่าเป็นคำร้องทุกข์ที่ไม่ชอบ

     พอร้องทุกข์ไม่ชอบ  ก็เท่ากับไม่มีการร้องทุกข์  

     ตามมาตรา 121  ห้ามพนักงานสอบสวนทำการสอบส่วนคดีความผิดต่อส่วนตัวที่ไม่มีการร้องทุกข์ตามระเบียบ
     เมื่อไม่มีการร้องทุกข์  พนักงานสอบสวนก็สอบสวนไม่ได้  

     ถึงดำเนินการสอบสวนไปก็ถือว่าเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบ  เท่ากับไม่มีการสอบสวน

     ตามมาตรา 120  ห้ามพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลโดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน
     ...เมื่อพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนไม่ได้  ก็ส่งอัยการฟ้องไม่ได้
     ...ต่อให้ทำการสอบสวนไปและส่งให้อัยการฟ้องแล้ว  เมื่อศาลพิจารณาพบว่าการร้องทุกข์ไม่ชอบ  ถือว่าไม่มีการร้องทุกข์  เท่ากับสอบสวนโดยไม่มีการร้องทุกข์  ขัดต่อกฎหมาย  อัยการไม่มีอำนาจฟ้อง  
     ยกฟ้อง!  

     แล้วอย่าลืมว่า  เวลามันเดินไปเรื่อยๆ  จะกลับมาร้องทุกข์(แจ้งความ)ใหม่ก็อาจขาดอายุความไปแล้ว


     เสียหายมั้ย...........เสียหายนะ  


   
    จะเห็นได้ว่าการแจ้งความให้ถูกต้องตามกฎหมายมีความสำคัญต่อการดำเนินคดีในทางอาญาอยู่มาก  เพราะมันคือการดำเนินการขั้นแรกที่นำไปสู่การฟ้องคดีต่อไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  หากต้องการดำเนินคดีโดยรัฐ  หรือให้พนักงานอัยการเป็นผู้ฟ้องคดีให้กับเรา  

    ด้วยเหตุนี้  จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เสียหายต้องแจ้งความให้ถูกต้องตามกฎหมาย  เพื่อจะได้นำตัวคนผิดมาลงโทษตามหลักกฎหมายต่อไป  

     ปล่อยให้การลดโทษเป็นหน้าที่ของศาลและกระบวนการยุติธรรมเถอะนะ  อย่าใจดีปล่อยคนร้ายไปเองด้วยการแจ้งความที่ไม่สมบูรณ์เลย



     ส่วนขั้นตอนหลังจากแจ้งความนั้นจะเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาล  ซึ่งจะได้กล่าวในโอกาสต่อไป 


     สวัสดี   
     

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น