วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559

ปัญหาข้อกฎหมายที่ตัดสิทธิการฟ้องคดีของโจทก์



      เหล่านี้คือปัญหาข้อกฎหมายที่ทำให้โจทก์ตกม้าตายได้ง่ายๆ  บางครั้งก็แค่ต้องฟ้องใหม่  บางครั้งนี่ถึงกับหมดสิทธิฟ้องอีกต่อไป


 1.  อำนาจฟ้อง  ตามหลักแห่งกฎหมายแล้ว  บุคคลผู้จะเสนอคดีของตนต่อศาลได้ต้องเป็นผู้ที่ถูกโต้แย้งสิทธิ  หรือจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาล  และหลักที่เพิ่มเข้ามาก็คือ  ผู้ที่สามารถจะเสนอคดีของตนต่อศาลได้  นอกจากต้องใช้สิทธทางศาลแล้ว  ยังต้องมีความสามารถด้วย  ซึ่งหากผู้ฟ้องขาดข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้งสองข้อไป  ถือได้ว่าอำนาจฟ้องของผู้ฟ้องบกพร่อง  ซึ่งความบกพร่องนี้แบ่งออกได้สองประเภท

    1.1  อำนาจฟ้องไม่สมบูรณ์  คือ  ผู้ฟ้องมีสิทธิฟ้องได้  แต่บกพร่องด้านความสามารถบางประการ  ได้แก่

        (ก)  ความสามารถไม่บริบูรณ์  เช่น  กรณีผู้เยาว์(เด็กที่ไม่ถึง 20 และยังไม่ได้แต่งงาน)  คนไร้ความสามารถ(พวกวิกลจริต  ถ้าจะปรับให้เข้าใจง่าย  คือพวกบ้าแล้วถูกศาลสั่งว่าบ้าจริง)  ฟ้องคดีเอง  กรณีนี้กฎหมายถือว่าคนกลุ่มนี้ไม่สามารถดำเนินคดีเองได้  ต้องมีผู้แทนในการดำเนินคดี  ได้แก่  ผู้แทนโดยชอบธรรม(พ่อแม่)หรือผู้ปกครอง(ผู้ดูแลแทนพ่อแม่ตามกฎหมาย)ของผู้เยาว์  หรือผู้อนุบาล(ศาลสั่งเท่านั้น)ของคนไร้ความสามารถ
              กรณีนี้ศาลจะให้บุคคลผู้ทำการแทนเข้ามาดำเนินคดีให้แก่ผู้เยาว์หรือคนไร้ความสามารถเสียก่อนจึงจะดำเนินคดีต่อไปได้
             อ่อ....กรณีผู้แทนโดยชอบธรรม  บิดาหรือพ่อต้องเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายนะคะ  คือต้องจดทะเบียนสมรสกับแม่ของเด็ก  หรือต้องรับรองเด็กเป็นบุตร  หรือศาลมีคำพิพากษาว่าเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  ถ้าไม่เข้าสามกรณีนี้ถือว่าเป็นบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ศาลอาจสั่งให้ดำเนินการให้ตัวเองเป็นพ่อโดยชอบด้วยกฎหมายหรือให้แม่เข้ามาทำคดีแทน  แล้วแต่กรณี
             สุดท้าย...จนกว่าจะมีการอุ้มบุญกันอย่างเอิกเกริกจนไม่แน่ใจว่าใครเป็นแม่เด็กแน่  แม่น่ะ....เป็นแม่ที่ชอบด้วยกฎหมายเสมอ

        (ข)  มีการมอบอำนาจกันไม่ถูกต้อง  หรือ  หนังสือมอบอำนาจรับฟังเป็นพยานไม่ได้  คือ  ตัวคนจะฟ้องหรือคนมอบอำนาจน่ะ  มีสิทธิฟ้องคดี  แต่การมอบอำนาจอาจจะไม่ได้มอบกันอย่างถูกต้อง  เช่น  ไม่ได้ลงชื่อคนมอบอำนาจ  มอบอำนาจไม่ครบ  มอบแค่นี้แต่ฟ้องเกินที่มอบ  หรืออีกกรณีเช่นที่ยกในบทความที่แล้วคือ  หนังสือมอบอำนาจไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ให้ครบถ้วนและ/หรือปิดครบถ้วนแล้วไม่ได้ขีดฆ่า  พอรับฟังไม่ได้จึงถือว่าไม่มีการมอบอำนาจกัน
       
          พอเกิดกรณีนี้ขึ้นมาศาลก็อาจจะจำหน่ายคดี  แต่โดยมากจะไม่ตัดสิทธิฟ้องใหม่เพราะถือว่า  ยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นอันเป็นข้อพิพาทแห่งคดี  ก็....ฟ้องใหม่  คราวนี้มอบกันให้ถูกละกัน

          อ่อ  เว้นอยู่อย่างเดียว  กว่าศาลจะตัดสินดันครบกำหนดอายุความ  กฎหมายท่านก็ต่อเวลาให้อีกหกสิบวัน  แต่กลับโอ้เอ้จนเกินเวลา  อันนั้นก็....ช่วยไม่ได้แฮะ

        (ค)  บุตรไม่มีสิทธิฟ้องบิดามารดาของตน  ค่ะ  แต่ความเป็นจริงมีอยู่ว่าบางครั้งบุตรก็จำเป็นต้องฟ้องบิดามารดาของตนในฐานะส่วนตัวเสียด้วยสิ  ทำไงล่ะ
               ทางแก้คือ  ให้ญาติอื่นทำการแทนบุตร  หรือให้อัยการฟ้องแทนก็ได้
               บุตรจะอายุเท่าไหร่ก็ไม่มีสิทธิฟ้องบิดามารดานะคะ  ห้ามกันตลอดชีวิตเลยล่ะ
               อันนี้ไม่อยู่ในเรื่องนี้หรอก  แค่เห็นว่า  เออ  มันก็เป็นข้อบกพร่องอย่างหนึ่งที่พอมีทางออกอยู่นะ

      ข้อบกพร่องในกรณีนี้โดยมากจะไม่ตัดสิทธิโจทก์เด็ดขาด  แต่ถ่วงให้เสียเวลาในการดำเนินคดีได้หากเกิดขึ้น  ดังนั้นแล้ว  ตรวจสอบให้ถูกต้องก่อนจะดีกว่า

     1.2  กรณีที่อำนาจฟ้องไม่บริบูรณ์  ตามหลักการฟ้องคดี  บุคคลจะยื่นคำร้องหรือคำฟ้องต่อศาลได้จะต้องมีความจำเป็นหรือถูกโต้แย้งสิทธิอันกฎหมายยอมรับ  กรณีตามข้อนี้เป็นกรณีที่โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องมาจาก  (1)โจทก์ไม่มีเหตุให้เรียกร้องสิทธิต่อศาล  หรือ  สิทธิที่โจทก์จะใช้ไม่ได้นับการรับรองตามกฎหมาย  แยกพิจารณาได้ดังนี้

     1.2.1  โจทก์ยังไม่มีเหตุให้เรียกร้องสิทธิต่อศาล  อันเนื่องมากจาก

   (ก)  กฎหมายบัญญัติให้โจทก์ต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนจึงจะมีสิทธิฟ้องคดี  แต่โจทก์มิได้กระทำ  เช่น

 -  ตามกฎหมายลักษณะเช่าทรัพย์ที่ในการเช่ามีกำหนดเวลาจ่ายค่าเช่า  หากผู้เช่าไม่ได้ชำระค่าเช่า  ผู้ให้เช่ามีสิทธิเลิกสัญญาได้  แต่ต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชำระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน  เมื่อผู้เช่าไม่ชำระจึงจะมีสิทธิเลิกสัญญาได้
    ถ้าผู้เช่าไม่ชำระปุ๊บ  บอกเลิกทันที  แล้วฟ้องขับไล่เลย  อย่างนี้ไม่ได้  ถือว่ายังไม่ปฎิบัติตามกฎหมาย  ไม่มีอำนาจฟ้อง

 -  ตามกฎหมายว่าด้วยการจำนอง  ก่อนบังคับจำนอง  เจ้าหนี้ผู้จะบังคับจำนองต้องบอกกล่าวแก่ผู้จำนองทรัพย์ก่อนว่าให้ชำระหนี้ในระยะเวลาอันสมควรซึ่งไม่น้อยกว่าหกสิบวัน  จึงจะมีสิทธิฟ้องบังคับจำนอง
   เช่นเดียวกัน  ลูกหนี้ไม่จ่ายหนี้ปุ๊บ  ฟ้องทันที  กรณีนี้ก็ถือว่ายังไม่มีอำนาจฟ้องเพราะยังไม่ปฏิบัติตามหลักที่กฎหมายกำหนด

  กรณีนี้หากโจทก์กลับไปปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดแล้วมาฟ้องใหม่ได้  ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย

  (ข)  โจทก์ไม่มีส่วนได้เสียในเรื่องที่ตนฟ้อง  เช่น

   ตามกฎหมายว่าด้วยการยืมใช้คงรูป  (คือยืมของที่ยืมเสร็จคืนกันด้วยของชิ้นเดิม)  หากผู้ยืมใช้ทรัพย์ตามปกติหรือใช้ตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งแก่ผู้ให้ยืมแล้วเกิดความเสียหายขึ้น  อันมิใช่ความผิดของตน  ผู้ยืมย่อมไม่ต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืม  ผลของการไม่ต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืมคือ  ผู้ยืมไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ก่อความเสียหายแก่ทรัพย์ที่ตนยืม  เพราะเมื่อไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าของทรัพย์  ย่อมไม่สามารถอ้างสิทธิเพื่อรับการชดใช้จากบุคคลอื่นเช่นกัน

  ตัวอย่างเช่น  ยืมรถพี่สาวบอกว่าจะขับไปส่งลูกที่โรงเรียน  หลังจากส่งลูกขณะที่ขับรถมาคืน  มีคนขับรถมาชน  ดังนี้  ตัวน้องไม่มีสิทธฟ้องผู้ชน  หากน้องไปฟ้อง  ศาลจะยกฟ้องโดยเหตุว่าน้องไม่ใช่ผู้ถูกทำละเมิด  ไม่มีอำนาจฟ้อง

  กรณีนี้  ทางแก้คือให้ผู้มีสิทธิตัวจริงดำเนินคดีไป


แม้จะจั่วหัวว่าอำนาจฟ้อง  แต่ตามกรณีนี้โดยทั่วไปจะไม่ถือว่าคดีเสร็จเด็ดขาด  เพราะยังไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดี  เมื่อแก้ไขให้ถูกต้องแล้วก็สามารถดำเนินคดีใหม่ได้

  อย่างไรก็ดี  ข้อนับจากนี้จะเป็นการตัดอำนาจฟ้องอย่างเด็ดขาด  ได้แก่




  2.  อายุความ  ดังได้เคยกล่าวถึงแล้วในเรื่องอายุความและข้อควรระวังในการฟ้องคดีว่า  แม้อายุความจะไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายว่าด้วยความสงบเรียบร้อยอันศาลสามารถยกขึ้นตัดฟ้องโจทก์ได้เอง  แต่เมื่อใดก็ตามที่โจทก์ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยเวลาอันกฎหมายให้สิทธิในการเรียกร้องไปแล้ว  จึงค่อยมาฟ้องในภายหลัง  หากจำเลยทราบข้อเท็จจริงในข้อนี้และกล่าวอ้างขึ้นในคำให้การของตน  ศาลจะยกฟ้องทันที  ซึ่งมีผลคือตัดสิทธิโจทก์ในการฟ้องและเรียกร้องอย่างถาวร




 3.  ฟ้องซ้อน  หมายถึง  การที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีเรื่องหนึ่งไว้ยังศาลใดศาลหนึ่งแล้ว  ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องคดีอันมีมูลแห่งคดีเดียวกันและจำเลยเดียวกันในศาลเดียวกันหรือศาลอื่นอีก  ดังนี้  ฟ้องของโจทก์ในคดีหลังเป็นฟ้องซ้อน  ซึ่งถือเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

      หลักการพื้นฐานในการพิจารณาว่าเป็นฟ้องซ้อนหรือไม่คือ
   1)  โจทก์คนเดียวกัน  ฝ่ายเดียวกัน(โจทก์ร่วม)  หรือถือว่าถูกผูกพันอย่างเดียวกัน  เช่น  อัยการกับผู้เสียหายกรณีฟ้องจำเลยความผิดฐานเดียวกัน  เจ้าของรวมในทรัพย์  ทายาทกับผู้จัดการมรดก  เป็นต้น
   2)  จำเลยคนเดียวกัน
   3)  คดีสองคดีมีประเด็นแห่งคดี  คือเหตุแห่งการฟ้อง  ข้อหา  ตลอดจนคำขอบังคับอันเดียวกัน
   4)  คดีแรกอยู่ระหว่างการพิจารณาแล้ว  โจทก์มาฟ้องคดีหลังอีก

   หากเข้าตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด  ถือได้ว่าเป็นฟ้องซ้อน  จำเลยยกขึ้นอ้างได้เลย  หรือศาลยกขึ้นพิจารณาเองก็ได้  ผลคือยกฟ้องสถานเดียว  ต่อให้ศาลดำเนินคดีไปโดยผิดหลงก็ถือว่าไม่เคยมีการพิจารณาเลย  เพราะไม่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่เริ่มฟ้องแล้วนั่นเอง

   และแน่นอนว่า  ฟ้องใหม่ไม่ได้ด้วย




 4.  ฟ้องซ้ำ  มีหลักการคือ  เมื่อคดีใดคดีหนึ่งได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี  และคดีถึงที่สุดไปแล้ว  ห้ามมิให้คู่ความรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ถึงที่สุดไปนั้น

    กรณีฟ้องซ้ำก็มีสองคดีเช่นกัน  แต่ต่างจากฟ้องซ้อนคือ  คดีใดคดีหนึ่งได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นหลักแห่งคดีไปแล้ว  หากมีการฟ้องกันอีกในประเด็นเดียวกับที่ได้วินิจฉัยไปแล้วจากคู่ความเดียวกัน  ถือเป็นฟ้องซ้ำ

    ข้อแตกต่างอีกประการหนึ่งคือ  ฟ้องซ้ำเป็นการห้ามทั้งฝ่ายโจทก์  ฝ่ายจำเลย  และห้ามศาลด้วย

 สมมติว่า ก กับ ข  ขับรถชนกัน  หาก ก ฟ้อง ข เรียกค่าเสียหาย  ข  ต้องฟ้องแย้งกลับไปเลยในคดีเดียวกัน  หากประสงค์จะอ้างว่าตนไม่ได้ประมาท  ก  ต่างหากที่ต้องรับผิด  ข รอจนคดีที่ ก ฟ้องตัวเองถึงที่สุดไปแล้วค่อยมาฟ้องใหม่ว่า  เหตุละเมิดดังกล่าวน่ะ  ตนไม่ได้ประมาท  ไม่ได้  ถือว่าประเด็นได้วินิจฉัยไปแล้ว   ถือเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  หากศาลเผลอรับก็ถือว่าศาลดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน  ต้องยกฟ้อง

  เช่นเดียวกับฟ้องซ้อน  ฟ้องซ้ำเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลสามารถยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง  หรือหากคู่ความยกขึ้นกล่าวอ้างแล้วศาลเห็นจริง  ก็สามารถยกฟ้องได้ทันที

   ฟ้องใหม่ไม่ได้เช่นกัน




 5.  การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ  มีหลักการคือ  เมื่อศาลใดมีคำสั่งหรือคำวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นใดแห่งคดีแล้ว  ห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว

     หลักการของการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำนั้นเป็นหลักการเดียวกับการฟ้องซ้ำ  เพียงแต่ว่า  การวินิจฉัยชี้ขาดในฟ้องซ้ำนั้นเป็นการทำให้คดีเสร็จไปทั้งคดี  ในขณะที่การชี้ขาดในการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำเป็นเพียงประเด็นบางข้อแห่งคดี  ยังไม่ทำให้คดีล่วงพ้นไปจากศาล  หากแต่กฎหมายไม่ต้องการให้กระทำการใดใดซ้ำไปซ้ำมาในประเด็นแห่งคดีซึ่งมีคู่ความเดียวกันแม้ว่าคดีจะยังไม่เสร็จไปก็ตาม  จึงบัญญัติห้ามไว้ดังกล่าว

    การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำอาจเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ก็ได้  แต่การฟ้องซ้ำจะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำเสมอ

   ต้องห้ามเช่นเดียวกันกับฟ้องซ้ำและฟ้องซ้อน




 6.  อากรแสตมป์  ดังที่เคยกล่าวในตอนที่แล้วว่า  พยานเอกสารต้องปิดอากรแสตมป์ให้ครบถ้วนและขีดฆ่าให้เรียบร้อย  มิฉะนั้นไม่สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้โดยถือว่าไม่ปฏิบัติตามประมวลรัษฎากร

     เอกสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์  ได้แก่  สัญญา  หนังสือมอบอำนาจ  เช็ค  letter  of  credit  ฯลฯ

     สัญญา  คือ  เอกสารที่ทำขึ้นเพื่อแสดงว่าคู่สัญญาได้ทำขึ้นแล้ว  โดยต้องลงลายมือชื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย

      กรณีที่นิติกรรมนั้นต้องทำเป็นหนังสืออยู่แล้ว  ไม่มีปัญหา  อย่างไรหนังสือนั้นก็เป็นสัญญาแน่ๆ  แต่ที่อยากกล่าวถึงคือ  กรณีที่นิติกรรมกำหนดว่า  นิตกรรมบางอย่างเพียงมีหลักฐานก็สมบูรณ์  หรือไม่ต้องทำเป็นหนังสือก็ได้  ตรงนี้อาจก่อให้เกิดความสับสน  เช่น  การกู้ยืม  การซื้อขายสังหาริมทรัพย์(ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้)

    หากสงสัยว่าหนังสือในมือท่านคือสัญญาหรือแค่หลักฐานการทำสัญญา  โปรดย้อนกลับไปนึกว่า  แรกเริ่มเลยนั้น  ได้ตกลงกันหรือไม่ว่า  หากไม่มีหนังสือฉบับนี้  สัญญาไม่เกิด  หากใช่  เพื่อความปลอดภัย  จงปิดอากรแสตมป์เสีย
    หรือหากยากไป  จงกลับไปดูย่อหน้าที่สามของข้อนี้  หากหนังสือในมือท่านมีการลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่ายล่ะก็  ปิดอากรเสียด้วย
 
    เพื่อความปลอดภัย  ก่อนฟ้องก็ยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่หน้าศาลปิดอากรไปเสียเลยทุกฉบับ  และเมื่อได้รับการยื่นยันแล้วว่าต้องปิดอากรแน่  ก็ขีดฆ่าเสียด้วย

   ย้ำนะ !!  หากเป็นโจทก์  ต้องปิดอากรแสตมป์และขีดฆ่าก่อนนำไปยื่นเป็นพยานทุกครั้ง !!!

   ส่วน....ถ้าเป็นจำเลย  แล้วอยากชนะโดย  technical knockout  หากเห็นว่าโจทก์ไม่ปิดอากรแสตมป์  หรือปิดแต่ไม่ขีดฆ่า  จงเงียบเสีย  แล้วค่อยยกตอนศาลพิพากษา  หรือยกขึ้นอุทธรณ์  รับรอง  ชนะ !
   (แต่  พูดตรงๆ  ไม่ปลื้มวิธีนี้  แลดูขี้โกงมากเลย  แต่ต้องยอมรับว่ากฎหมายเปิดช่องให้เล่นได้จริง)

  สาเหตุที่แนะนำในวรรค  เอ่อ  ย่อหน้าก่อนหน้านี้ได้  เพราะปัญหาเรื่องปิดอากรแสตมป์ถือเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย  สามารถยกขึ้นเวลาใดในชั้นศาลใดก็ได้




  บทความต่อไปกล่าวถึงฝ่ายจำเลยในคดีแพ่งบ้างดีไหมนะ...



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น