วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558
ข้อควรระวังอื่นในการฟ้องคดีแพ่ง (update!)
มา ว่ากันตั้งแต่ขณะเริ่มฟ้องจนจบไปเลย
ข้อพิจารณาก่อนหรือขณะฟ้องคดี
1. ฟ้องของท่านขาดอายุความหรือไม่ : แม้ในคดีแพ่งอายุความจะไม่ใช่ปัญหาความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่มันเป็นข้อต่อสู้ที่ดีซึ่งหากฝ่ายตรงข้ามยกขึ้นมาแล้วศาลเห็นจริง ศาลยกฟ้องทันที เพราะฉะนั้น เป็นไปได้ควรฟ้องภายในอายุความจะดีกว่า
2, ฟ้องต้องใช้แบบฟอร์มของศาลเท่านั้น จะใช้กระดาษแบบอื่นมิได้ และต้องนำไปยื่นด้วยตัวเองแก่ศาลในเขตอำนาจเท่านั้น จะส่งไปรษณีย์ไม่ได้
3. การยื่นฟ้องคดีต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียม
3.1 ค่าฤชาธรรมเนียม ได้แก่ ค่าธรรมเนียมศาล ค่าสืบพยานหลักฐานนอกศาล ค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง ค่าเช่าที่พักของพยาน ล่าม ผู้เชี่ยวชาญและเจ้าพนักงานศาล ค่าทนายความ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี และอื่นๆเท่าที่จำเป็น (ปวิพมาตรา ๑๔๙ วรรคหนึ่ง)
3.2 อัตราค่าธรรมเนียม มีดังนี้
- กรณีคดีไม่มีทุนทรัพย์ เรื่องละ 200 บาท
- คดีมีทุนทรัพย์ที่ไม่เกิน 50 ล้านบาท เสียในอัตราร้อยละ 2 แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
- ส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท เสียในอัตราร้อยละ 0.1
- คดีมโนสาเร่ เสียตามอัตราในสองข้อแรก แต่ไม่เกินสองพันบาท
3.3 การวางเงิน ต้องวางเงินสดหรือเช็คซึ่งธนาคารรับรองเท่านั้น
3.4 ค่าฤชาธรรมเนียมศาลในส่วนของ ค่าขึ้นศาล นั้น หากผู้ฟ้องไม่มีเงินพอชำระ สามารถยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมได้ ซึ่งในคำร้องต้องกล่าวอ้างว่า
1) คำฟ้องมีเหตุผลเพียงพอให้รับไว้พิจารณา
2) ผู้ร้องไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมได้ หรือหากไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมจะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร
4. เอกสารหลักฐานสำคัญบางอย่างซึ่งต้องใช้ในการพิจารณาคดี เช่น สัญญา หนังสือมอบอำนาจ ต้องปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องครบถ้วน และขีดฆ่าให้เรียบร้อย มิฉะนั้นจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้
- ถ้าเป็นสัญญาแล้วไม่ปิดอากรและขีดฆ่าให้ถูกต้อง ศาลยกฟ้องเลย ถือว่าไม่มีหลักฐาน กรณีนี้ฟ้องใหม่ไม่ได้เลยด้วย (เป็น technical knockout ที่เจ็บปวดมาก ต่อให้จำเลยผิดจริงก็ไม่สามารถฟ้องได้ถ้าปิดอากรไม่สมบูรณ์หรือไม่ขีดฆ่า ต้องระวัง)
- ถ้าเป็นพวกหนังสือมอบอำนาจฟ้อง ถือว่าการมอบอำนาจไม่ถูกต้อง ซึ่งศาลอาจสั่งแก้ใหม่หรือจำหน่ายคดีก็ได้ ถ้าเป็นกรณีหลังก็ต้องเสียเวลาฟ้องใหม่ ทำให้ถูกแต่ต้นดีกว่า
เมื่อยื่นฟ้องคดีแล้วก่อนคู่ความอีกฝ่ายเข้ามาในคดี
1. ต้องเสียค่านำส่งสำเนาคำฟ้องและสำเนาเอกสารให้จำเลย บางครั้งศาลอาจให้ส่งเอง แต่ทั่วไปคือให้เสียค่านำส่งแล้วให้เจ้าพนักงานศาลไปส่ง
2. เมื่อเสียค่านำส่งแล้ว ต้องกลับมาตามเรื่องว่าส่งได้หรือไม่ ถ้าส่งได้ให้รออีก 15 วัน ซึ่งเป็นกำหนดเวลาให้จำเลยยื่นคำให้การ หากส่งไม่ได้ต้องแถลงต่อศาลว่าจะทำอย่างไรต่อไป
หากปล่อยล่วงเลยไม่เอาใจใส่ แล้วเจ้าพนักงานเกิดส่งหมายไม่ได้ ศาลจะถือว่าเราทิ้งฟ้อง อาจสั่งจำหน่ายคดีได้ จริงอยู่ว่าการจำหน่ายคดีไม่ตัดสิทธิฟ้องใหม่ แต่กรณีที่ฟ้องช่วงใกล้ขาดอายุความ การฟ้องครั้งที่สองอาจเสี่ยงต่อการขาดอายุความได้
ในการตามเรื่อง....ทางปฏิบัติคือทุกๆ 7 วัน
กรณีที่การส่งหมายได้กระทำโดยปิดหมาย คือไม่สามารถส่งให้แก่ตัวผู้ถูกฟ้องหรือคนรับแทนได้ จึงใช้วิธีปิด หรือติดในที่ใดที่หนึ่งซึ่งเห็นได้ง่ายและหายได้ยาก ระยะเวลาในการยื่นคำให้การจะเพิ่มไปอีก 15 วัน หรือก็คือเมื่อได้ความว่าส่งโดยปิดหมาย ให้รอเวลาไปอีก 30 วัน จึงค่อยกลับมาตรวจสอบการยื่นคำให้การของจำเลย
หลังแจ้งให้คู่ความอีกฝ่ายทราบแล้ว
1. เมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว
1.1 เมื่อรับสำเนาคำให้การจำเลยมาแล้ว ต้องตรวจสอบว่าจำเลยได้ให้การฟ้องแย้ง คือจำเลยฟ้องเรากลับในประเด็นใดหรือไม่เพียงใด หากจำเลยฟ้องแย้ง เราต้องทำคำให้การแก้ฟ้องแย้งของจำเลยยื่นต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่ได้รับสำเนาคำให้การกรณีปกติ หรือ 30 วันกรณีศาลมาปิดหมายที่บ้านหรือที่ทำงานเรา (จริงๆแล้วระยะเวลาจะเป็นเท่าใดศาลจะสั่งไว้ในสำเนาอยู่แล้ว ก็ยื่นคำให้การภายในกำหนดนั้น)
หากเราไม่ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง หรือยื่นเกินกำหนดโดยไม่ได้ขออนุญาตศาล ในทางกฎหมายจะถือว่าเราขาดนัดยื่นคำให้การในส่วนฟ้องแย้ง ซึ่งจำเลยสามารถร้องต่อศาลให้มีคำพิพากษาให้จำเลยชนะคดีโดยขาดนัดยื่นคำให้การในส่วนฟ้องแย้งได้ ซึ่งจะหนักหนาสาหัสเท่าใดต้องพิจารณาเป็นเรื่องๆไป
แต่หากอยากมีโอกาสชนะในทุกประเด็น แนะนำว่าควรยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งจะดีกว่า
1.2 ในบางคดี ศาลจะนัดชี้สองสถานเพื่อกำหนดประเด็นข้อพิพาท ในวันนัดชี้สองสถาน ควรมาศาล เพราะจะได้ทราบว่ามีประเด็นใดที่ฝ่ายใดต้องนำสืบบ้าง ฝ่ายใดต้องเป็นฝ่ายสืบก่อน และหากศาลกำหนดประเด็นของเราขาดไป เราจะได้ทักท้วงได้ การทักท้วงคือเมื่อเห็นว่าไม่ถูกต้องให้ทักท้วงด้วยวาจาทันที หรือยื่นคำร้องทักท้วงภายใน 7 วันนับแต่วันที่มีการชี้สองสถาน เมื่อศาลสั่ง หากไม่พอใจต้องทักท้วงไว้อีกรอบ จึงจะมีสิทธิอุทธรณ์ต่อไป
หากไม่มาวันชี้สองสถาน กฎหมายวางหลักให้ถือว่าทราบแล้ว และขาดโอกาสทักท้วงด้วย เว้นแต่เป็นปัญหาความสงบหรือศาลกำหนดประเด็นเกินไป
กรณีหนึ่งที่ถือเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบคือ กรณีที่ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทเกิน เช่น เราอ้างเหตุสองประเด็น อีกฝ่ายอ้างอีกสองประเด็น โดยทั่วไปศาลไม่ควรกำหนดเกินสี่ประเด็น แต่ศาลเกิดกำหนดว่าประเด็นที่ต้องอ้างหลักฐานมีหกประเด็น อันนี้ถือว่าเป็นการขัดต่อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบ เพราะกฎหมายไม่ต้องการให้บุคคลเป็นความกันมากกว่าที่ควรจะเป็น ผลคือ แม้ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านไว้ก็มีสิทธิอุทธรณ์ต่อไปได้
แต่หากไม่อยากเสี่ยง ศาลสั่งอะไรที่รู้สึกว่า ไม่ใช่ละ ท้วงไว้ก่อนปลอดภัยสุด
1.3 วันนัดสืบพยานนัดแรก หรือวันแรก ต้องมาศาล(จะตัวคนฟ้องมาเอง หรือทนายมา หรือผู้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีมา หรือมาทุกคนก็ได้) หากไม่มาถือว่าขาดนัดพิจารณา ถ้าทั้งโจทก์ทั้งจำเลยไม่มาศาล ศาลจะจำหน่ายคดี ถ้าจำเลยมาศาลก็เสื่ยงต่อการที่จำเลยดำเนินคดีไปฝ่ายเดียวและทำให้เราถูกยกฟ้อง ซึ่งหากถูกยกฟ้องจะฟ้องใหม่ไม่ได้อีกแล้ว
เว้นแต่กรณีส่งประเด็นไปสืบที่ศาลอื่น ไม่ถือว่าการไม่มาศาลเป็นการขาดนัดพิจารณา
เว้นแต่(อีกรอบ) เราได้ขอเลื่อนคดีไปแล้วและศาลอนุญาต จึงจะไม่ถือว่าเป็นการขาดนัด
1.4 ในกรณีที่ขาดนัดพิจารณาไปแล้ว และมาศาลหลังจากนั้น แต่ก่อนศาลมีคำพิพากษา หากต้องการต่อสู้คดีให้แจ้งต่อศาลในโอกาสแรก(คือพอมาถึงให้แจ้งทันทีหรือแจ้งทันทีที่มีโอกาส)ว่าตนประสงค์จะสู้คดี และการขาดนัดพิจารณามิได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุสมควร(อ้างเพียงเหตุใดเหตุหนึ่งก็พอ)
เมื่อศาลเห็นว่าการขาดนัดไม่เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควร ศาลจะสั่งให้มีการพิจารณาคดีใหม่...........อย่าขาดนัด(พิจารณา)อีกล่ะ ขาดมากกว่าหนึ่งครั้งนี่ โอกาสชนะเข้าใกล้ศูนย์มากเลยนะ
สุดท้าย ไม่ว่ากรณีใด ห้ามมิให้ฝ่ายโจทก์อุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีเนื่องจากเหตุขาดนัด แต่กรณีที่จำหน่ายคดีสามารถฟ้องใหม่ได้ภายในอายุความ
1.5 หากทุกอย่างปกติดี ไม่มีการขาดนัด ต่างฝ่ายต่างก็จะมีภาระการพิสูจน์ของตนเองไป ศาลจะฟังจนได้ข้อยุติ และมีคำพิพากษา
2. เมื่อจำเลยไม่ยื่นคำให้การ
2.1 ให้โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ศาลมีคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด หากไม่ยื่นคำร้องดังกล่าว ศาลอาจจำหน่ายคดีออกจากสารบบความได้ (ต้องเสียเวลาฟ้องใหม่นะ)
2.2 หลังจากนั้นศาลจะทำการไต่สวนและให้ฝ่ายโจทก์สืบพยานหลักฐานไปฝ่ายเดียว วันนัดสืบพยานหลักฐาน ต้องมาศาล และต้องนำพยานมาสืบด้วย ไม่เช่นนั้นศาลจะถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ คดีโจทก์ไม่มีมูล ยกฟ้อง (ฟ้องใหม่ไม่ได้)
2.3 เมื่อสืบพยานไปและศาลเห็นว่าคดีมีมูล(คือพอฟังได้)และไม่ขัดต่อกฎหมาย ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี
หลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้ว
หากมองเฉพาะฝ่ายโจทก์ คำพิพากษาจะแบ่งเป็นสามประเภทหลัก คือ ศาลให้ตามที่ขอทั้งหมด ศาลให้ตามที่ขอบางส่วน และให้โจทก์แพ้คดี
หากเป็นกรณีแรก โจทก์จะต้องดำเนินการในการบังคับคดีต่อไป ซึ่งจะได้กล่าวถึงในเรื่องการบังคับคดีภายหลัง หลักคือ หลังศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ศาลจะพิพากษาให้จำเลยกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้คือ กระทำการ งดเว้นกระทำการ หรือส่งมอบทรัพย์สิน โดยศาลจะออกเป็นคำบังคับคดี(โจทก์ต้องตรวจสอบด้วยนะว่าศาลออกคำบังคับหรือยัง) ให้จำเลย หากต่อมาจำเลยยังไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จะต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลออก "หมายบังคับคดี" บังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาต่อไป
การบังคับคดีหรือการบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษานั้นมีอายุความ 10 ปี หากเกินนี้ ต่อให้ชนะก็ทำอะไรไม่ได้นะคะ (เว้นแต่จำนอง จำนำ ยังบังคับได้ แต่เรียกดอกเบี้ยย้อนหลังได้ไม่เกิน 5 ปี)
หากเป็นกรณีหลัง โดยส่วนใหญ่ โจทก์มักจะอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ต่อไป หลักทั่วไปคืออุทธรณ์ได้ภายในหนึ่งเดือนนับแต่ศาลอ่านคำพิพากษาหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาให้โจทก์ทราบ โดยจะอุทธรณ์ได้นั้น หากเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ทุนทรัพย์ต้องถึงตามหลักเกณฑ์ด้วย กล่าวคือ
ก) กรณีคดีมีทุนทรัพย์ มูลค่าทุนทรัพย์ที่เรียกร้องต้องเกิน 50,000 บาท
ข) กรณีฟ้องขับไล่ออกจากอสังหาริมทรัพย์(บ้านและ/หรือที่ดิน) อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ ราคาค่าเช่าที่คำนวณได้จริงต้องเกิน 4,000 บาท
ค) ส่วนคดีไม่มีทุนทรัพย์ อุทธรณ์ได้เสมอ
ข้อควรระวัง
1. เมื่อก่อนคู่ความสามารถอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาได้ตามปวิพมาตรา ๒๒๓ ทวิ แต่กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฉบับแก้ไขใหม่ได้ยกเลิกมาตรานี้แล้ว เพราะฉะนั้น....ไม่ได้แล้ว
2. เช่นเดียวกัน แต่ก่อน หากคู่ความไม่พอใจคำพิพากษาศาลอุทธรณ์สามารถฎีกาไปยังศาลฎีกาได้ แต่ปัจจุบันกฎหมายแก้ไขใหม่ได้บัญญัติให้ คดีแพ่งทุกคดีถึงที่สุดที่ศาลอุทธรณ์ หากคู่ความประสงค์จะฎีกาต้องขออนุญาตศาลฎีกาเท่านั้น การฎีกาในบ้านเราได้เปลี่ยนจากระบบสิทธิเป็นระบบอนุญาตเรียบร้อยแล้ว...
เอ้ออออ ส่วนรายละเอียดในการอุทธรณ์และการบังคับคดี เอาไว้เรียนถึง อ่านถึง และเข้าใจมากขึ้นแล้วจะมาลงในบลอกภายหลังนะคะ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น