วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558

การฟ้องคดีแพ่ง (2) : ฟ้องที่ไหน



       โอเค  ทราบกันไปแล้วว่าทำไมคนเราถึงต้องเดินไปหาเรื่องศาล  เอ๊ย  เอาเรื่องไปให้ศาลวินิจฉัย  ปัญหาต่อไป....

        ....ฟ้องที่ไหนดีล่ะ???



             
             กรณีนี้จะต้องอิงหลักกฎหมายว่าด้วยเรื่องอำนาจศาล  ซึ่งจะมีกฎหมายเกี่ยวข้องอันเกี่ยวกับการดำเนินคดีในทางแพ่งได้แก่  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  และ  พระธรรมนูญศาลยุติธรรม  ซึ่งมีข้อพิจารณาดังนี้



   1.  เขตอำนาจ  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา  ๑๕  ได้วางหลักว่า  "ห้ามศาลใช้อำนาจนอกเขตศาล  เว้นแต่....."

         ดังนั้น  คดีแพ่งต้องฟ้องต่อศาลซึ่งมีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีแพ่ง  ซึ่งมีเขตอำนาจในการรับคำฟ้องได้  ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังนี้

   ก.  กรณีเป็นคดีมีข้อพิพาท

    1.1  กรณีทั่วไป  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๔  อนุ  (๑)  บัญญัติว่า  "คำฟ้อง  ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล  หรือศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล..."

        จากบทบัญญัติดังกล่าว  คดีมีข้อพิพาทจะเสนอคำฟ้องได้สองศาลด้วยกัน  หนึ่งคือศาลซึ่งจำเลย  หรือผู้จะถูกฟ้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลนั้น  เช่น  หากจำเลยเป็นคนเชียงใหม่  ผู้ฟ้องหรือโจทก์สามารถฟ้องคดีดังกล่าวต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้  เป็นต้น
 
        อีกทางเลือกหนึ่งของการฟ้องคดีคือศาลซึ่งมูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล  คือ  หากเหตุแห่งการพิพาทหรือเรียกร้องเกิดขึ้น  ณ  ที่ใด  ย่อมสามารถฟ้องคดี  ณ  ศาลในที่นั้นได้  เช่น  รถถูกชนที่ระยอง  เจ้าของรถที่ถูกชนสามารถฟ้องคดีที่จังหวัดระยองได้  แม้ว่าผู้ขับรถชนและเจ้าของรถที่ถูกชนจะไม่ได้อยู่ที่ระยองก็ตาม

   1.2  กรณีที่ฟ้องหรือพิพาทกันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์  หรือสิทธิหรือประโยชน์เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์  สามารถฟ้องคดีได้ที่ศาลในเขตที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่  ไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาในเขตศาลนั้นหรือไม่ก็ตาม  (ตามปวิพ  มาตรา ๔ ทวิ)

    เช่น  ตกลงกันไม่ได้ว่าใครเป็นเจ้าของที่ดินแปลงใดแปลงหนึ่งซึ่งอยู่ในจังหวัดปทุมธานี  แม้คู่กรณีจะอยู่คนละจังหวัด  เช่นฝ่ายหนึ่งอยู่กรุงเทพฯ  อีกฝ่ายหนึ่งอยู่ปัตตานี  ในกรณีนี้สามารถไปทะเลาะกันหน้าศาล  เอ๊ย  นำคดีไปฟ้องศาลจังหวัดปทุมธานีได้  เพราะเป็นศาลซึ่งที่ดินแปลงนั้นตั้งอยู่นั่นเอง

  1.3  หากเป็นข้อพิพาทซึ่งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นต่างชาติ  หรือไม่มีภูมิลำเนาในประเทศไทย  ให้พิจารณาตามลำดับดังนี้

    (i)  หากจำเลยเคยมีภูมิลำเนาในประเทศไทย(กรณีบุคคลธรรมดา)  หรือเคยประกอบกิจการใดใดในประเทศไทย  ภายในสองปีก่อนวันยื่นฟ้อง  ให้ถือว่าที่ๆเคยเป็นที่อยู่(กรณีบุคคลธรรมดา)  ที่ๆเคยเป็นที่ประกอบกิจการ  หรือที่ๆเป็นที่อยู่ของตัวแทนผู้ถูกฟ้องนั้น  เป็นภูมิลำเนาของจำเลย
        ...........ฟ้องในศาลที่มีอำนาจในเขตข้างต้นโดยยึดตามข้อ  1.1  ว่าด้วยภูมิลำเนาจำเลยได้เลยค่ะ

   (ii)  หากจำเลยไม่มีภูมิลำเนาในประเทศไทย  และเหตุแห่งการพิพาทก็ไม่ได้เกิดในประเทศไทย  แต่โจทก์หรือผู้ฟ้องคดีเป็นคนไทย  หรือมีภูมิลำเนาในประเทศไทย  ให้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง(รัชดา)  หรือศาลซึ่งโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

  1.4  หากข้อพิพาทเกิดขึ้นในเรือไทยหรืออากาศยานไทย  หรืออีกนัยหนึ่ง  เกิดขึ้นในเรือหรือเครื่องบินซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทยและถือว่าเป็นเครื่องของไทย  ให้ฟ้องที่ศาลแพ่ง(ค่ะ....ที่อยู่รัชดาน่ะค่ะ)


     ข. กรณีเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท

 1.5  ตามปวิพมาตรา ๔ อนุ (๒)  บัญญัติว่า  "คำร้องขอ  ให้เสนอต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล  หรือศาลที่ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่"

       หรือก็คือ  ให้เสนอต่อศาลที่เหตุแห่งการยื่นคำร้องขอเกิดขึ้น  หรือศาลที่ผู้จะร้องขอมีภูมิลำเนาอยู่

 1.6  คดีร้องขอจัดตั้งผู้จัดการมรดก  ให้เสนอต่อศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในขณะถึงแก่ความตาย

      สรุปก็คือคนตายอยู่ไหนก่อนตาย  ฟ้องที่นั่นแหละ  (เริ่มไม่ศัพท์กฎหมายแล้วมั้ยล่ะ)

      อย่างไรก็ดี  หากเป็นกรณีเกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์  ก็ยึดตามข้อ 1.2  ดังที่กล่าวข้างต้น


  ประเด็นสำคัญคือ  เรื่องที่จะเสนอต่อศาลไทยนั้นต้องมี  "จุดเกาะเกี่ยว"  กับประเทศไทย  กล่าวคือ  ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนไทย  หรือเกิดเหตุในประเทศไทย  หาไม่แล้ว  จะไม่สามารถยื่นคำฟ้องหรือคำร้องขอต่อศาลในประเทศไทยได้เลย



    โอเค  เมื่อเลือกเขตศาลกันได้แล้ว  ประเด็นต่อมาที่ต้องพิจารณาก็คือ



  2.  อำนาจศาล

     หลักมีอยู่ว่า  ศาลที่มีอำนาจรับพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งคือ  ศาลแพ่ง  ศาลแพ่งกรุงเทพใต้  ศาลแพ่งธนบุรี  ศาลจังหวัด  และศาลแขวง


     เฮ้ย  มีหลายศาล?

     ใช่ค่ะ  ศาลแพ่ง  ศาลแพ่งกรุงเทพใต้  และศาลแพ่งธนบุรีนั้น  ตั้งอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร  โดยศาลแพ่งมีเขตอำนาจทั่วประเทศ  ส่วนอีกสองศาลนั้นก็มีเขตอำนาจเหนือพื้นที่โดยรอบศาล

     ส่วนศาลจังหวัดและศาลแขวงนั้นมีอยู่ทั่วประเทศเกือบจะทุกจังหวัด  แม้แต่ในกรุงเทพฯก็มีศาลจังหวัดและศาลแขวงเช่นกัน

 
     อ้าว  แบบนี้เขตอำนาจไม่ซ้อนกันหรือ ?

     ซ้อนค่ะ  ดังนั้น  จึงต้องมีการแบ่งอำนาจศาลกันไงล่ะคะ  


    นอกจากจะแบ่งว่าศาลไหนคุมพื้นที่ใดบ้างแล้ว(สำหรับในกรุงเทพมหานครนะ)  หลักการมีอยู่ว่า  ในพื้นที่ซึ่งมีทั้งศาลจังหวัดและศาลแขวงให้แบ่งเขตอำนาจกันดังนี้  คือ

    "ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาคดีแพ่ง  เฉพาะคดีซึ่งมีทุนทรัพย์ไม่เกิน  300,000  บาท"  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา ๑๗  ประกอบมาตรา ๒๔  และ ๒๕

     ดังนั้นแล้ว  หากเป็นกรณีที่ต้องใช้สิทธิทางศาลอันไม่ใช่กรณีมีข้อโต้แย้งหรือคดีไม่มีข้อพิพาท  และ  ฟ้องร้องแก่กันโดยมีทุนทรัพย์เกิน  300,000 บาทขึ้นไป  ต้องไปฟ้องยังศาลจังหวัด  ศาลแพ่งกรุงเทพใต้  ศาลแพ่งธนบุรี  หรือศาลแพ่ง  ตามแต่จังหวัดที่ท่านประสงค์จะยื่นฟ้อง

  เพิ่มเติม  :
            1.  คดีมีทุนทรัพย์คือคดีที่ฟ้องร้องเพื่อเรียกเอาทรัพย์สินจากกัน  อาจเรียกเป็นตัวเงินหรือเรียกทรัพย์ก็ได้  แต่ต้องได้ความว่า  เมื่อชนะคดี  ผู้ฟ้องจะได้ทรัพย์มาเป็นของตนหรือของฝ่ายตน
 
            2.  ทุนทรัพย์คือจำนวนเงินที่เรียกร้องกันมาในมูลคดีหรือการฟ้องคดี  หากเรียกเป็นจำนวนเงินโดยตรง  ให้พิจารณาจากจำนวนเงินที่เรียกร้องกัน  แต่หากเกี่ยวด้วยทรัพย์สิน  ให้คิดโดยตีราคาทรัพย์นั้นหรือราคาซึ่งทรัพย์นั้นอาจทำเงินได้  เช่น  ฟ้องขับไล่  ให้คิดทุนทรัพย์โดยตีราคาว่าบ้านที่จะไล่เขานั้นหากให้เช่าจะให้เช่าได้ราคาเท่าใด  อย่างไรก็ดี  คดีฟ้องขับไล่เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์นะคะ  เพราะคำขอหลักไม่ได้เรียกตัวเงินหรือทรัพย์สิน
   


   และนี่คือหลักการพิจารณาว่า  คดีของท่านต้องไปยื่นเพื่อรับการพิจารณาจากศาลใด


   แต่ช้าก่อน  ต่อไปนี้คือข้อยกเว้น

1.  คดีใดใดก็ตามที่เกิดในประเทศไทยซึ่งอยู่นอกเขตศาลแพ่ง  สามารถยื่นฟ้องที่ศาลแพ่งได้  เพราะมาตรา ๑๖  แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  ให้อำนาจศาลแพ่งในการรับพิจารณาพิพากษาได้  หรือจะโอนไปยังศาลอื่นที่มีเขตอำนาจก็ได้เช่นกัน

   เช่น  เล่นแชร์แล้วถูกโกงที่ชลบุรี  คนโกงหนีกลับบ้านที่ขอนแก่น  ถ้ายังงงๆไม่แน่ใจว่าจะฟ้องที่ไหน  วิ่งไปยื่นเรื่องที่ศาลแพ่งรัชดาได้เลยค่ะ  ถ้าท่านไม่รับ  ประเดี๋ยวท่านก็โอนไปยังศาลที่มีอำนาจเอง

   หมายเหตุ   คนเขียนไม่มีเจตนาจะกล่าวหาว่าจังหวัดใดดีไม่ดีนะ  แค่ยกตัวอย่างตามจังหวัดที่นึกขึ้นได้ขณะที่ยกตัวอย่างเฉยๆ


2.  หากคำฟ้องหรือคำร้องขอใดเป็นคำฟ้องหรือคำร้องขออันเกี่ยวเนื่อง  หรือสืบเนื่องมาจากการพิจารณาคดีในศาลใด  ให้ยื่นต่อศาลนั้น  เช่น  คดีเกี่ยวกับการยึดทรัพย์  หากเราจะร้องคัดค้านการยึดทรัพย์ไม่ว่าเหตุผลใดใด  แม้เราจะมีสิทธิฟ้องที่ศาลมากกว่าหนึ่งศาล  แต่เราก็ต้องยื่นคำร้องไปที่ศาลที่ตัดสินให้ยึดทรัพย์เท่านั้น  เป็นต้น

       นอกจากเรื่องเกี่ยวกับการบังคับคดีแล้ว  คดีที่ต้องการให้ศาลถอดถอนตำแหน่งของบุคคลใดอันศาลได้มีคำสั่งแต่งตั้ง  หรือประสงค์ให้ศาลเปลี่ยนแปลงคำสั่งใดใดอันศาลได้มีคำสั่งชี้ขาดแล้ว  ก็ต้องยื่นที่ศาลซึ่งได้แต่งตั้งหรือออกคำสั่งเหล่านั้นเช่นเดียวกัน

      อีกประการหนึ่งคือคำร้องเกี่ยวกับการสืบพยานล่วงหน้าในคดีใด  หากได้ยื่นต่อศาลใดแล้วประสงค์จะยื่นเพิ่มเติม  ให้ยื่นต่อศาลนั้น  แต่หากยังไม่ได้ยื่นต่อศาลนั้นก็ให้ยื่นต่อศาลซึ่งพยานหรือหลักฐานที่ต้องการจะสืบล่วงหน้ามีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลนั้น

     หลักเหล่านี้เป็นข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา ๗  ค่ะ



  เฮ้อ  จบเสียที....   หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์แก่ผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อยนะ


 .....แต่อย่างน้อยคนเขียนก็ได้ประโยชน์ตรงที่ได้ทบทวนเรื่องเขตอำนาจศาลแหละน่าาา
                   





 
     




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น