วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559
การลงโทษในทางอาญา
กฎหมายอาญาเป็นกฎหมายมหาชนอันมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม ตลอดจนป้องปรามการกระทำผิดต่างๆ ดังนั้น กฎหมายอาญาจึงบัญญัติถึงโทษไว้สำหรับผู้ฝ่าฝืน หลักในการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามีดังนี้
1. โทษทางอาญามีห้าประการ คือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๘
2. ตามมาตรา ๑๘ วรรคท้าย ห้ามนำโทษประหารชีวิตและโทษจำคุกตลอดชีวิตมาใช้กับผู้ซึ่งกระทำความผิดขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี หากโทษที่ผู้กระทำเหล่านี้มีโทษถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ให้เปลี่ยนโทษประหารชีวิตหรือโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจำคุก 50 ปี
.............อันที่จริงไม่ค่อยเห็นด้วยกับการลดโทษหรอก(เป็นสายเหยี่ยว) แต่กฎหมายเขาว่างี้ก็ว่าตามกันไป........
3. สำหรับโทษประหารชีวิต ให้ประหารชีวิตด้วยการฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย ตามปอมาตรา ๑๙
4. กรณีจำคุก บทบัญญัติเกี่ยวกับการจำคุกมีดังนี้
4.1 กรณีความผิดที่กฎหมายให้ทั้งจำคุกและปรับ ศาลจะลงจำคุกอย่างเดียวก็ได้ แต่จะปรับอย่างเดียวโดยไม่จำคุกไม่ได้
เว้นแต่โทษตามกฎหมายเฉพาะที่บัญญัติว่าต้องลงทั้งจำทั้งปรับเสมอ เช่น โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดฯ
ในทางปฏิบัติ หากลงโทษจำคุก ศาลจะไม่ปรับ แต่หากรอลงอาญา ศาลจะปรับ
4.2 การคำนวนระยะเวลาจำคุก ให้หักวันที่จำเลยถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกทั้งหมดด้วย เช่น หากศาลพิพากษาให้จำคุก 1 ปี แต่จำเลยถูกขังมาแล้วก่อนศาลมีคำพิพากษา 1 เดือน ดังนั้น ต้องนำระยะเวลา 1 เดือน มาหักออกจากโทษทั้งหมดด้วย รวมแล้วจำเลยต้องถูกจำคุกต่อไปอีก 11 เดือน เป็นต้น
4.3 การนับระยะเวลาให้ใช้หลัก 30 วัน เป็น 1 เดือน ดังนั้น อย่าแปลกใจเวลาเห็นข่าวว่าคนนั้นคนนี้ถูกจำคุกเท่านั้นเท่านี้เดือน เช่น 16 เดือน เพราะหากตั้งต้นที่เดือนแล้วล่ะก็เวลาจะไม่เท่ากับปีปกติ เนื่องจากหนึ่งเดือนตามการลงโทษจำคุกจะเท่ากับ 30 วัน เสมอ นั่นเอง
ส่วนปี คำนวณตามปีปฏิทินปกติ
4.4 หากโทษสุทธิที่เหลือหลังจากคำนวณแล้วไม่เกินสามเดือน และข้อเท็จจริงปรากฎว่าจำเลยไม่เคยได้รับโทษมาก่อน หรือเคยได้รับโทษมาก่อนแต่เป็นโทษที่เกิดจากความผิดโดยประมาทหรือลหุโทษ ศาลจะเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังไม่เกินสามเดือนแทนก็ได้ ตามปอมาตรา ๒๓
5. การกักขัง ให้คุมตัวไว้ในสถานที่ที่กำหนดซึ่งมิใช่เรือนจำ หรือที่บ้านของผู้ถูกกักขังก็ได้
คล้ายๆจำคุก(หรือติดคุกในภาษาชาวบ้าน) แต่จะหย่อนกว่า และความจริงมีอยู่ว่า แทบไม่เคยถูกพูดถึงเท่าใดนัก
6. ปรับ เมื่อได้รับโทษปรับให้ชำระตามที่กำหนด หากไม่ชำระค่าปรับภายใน 30 วัน ศาลมีอำนาจสั่งกักขังแทนค่าปรับได้ ในอัตรา 200 บาท ต่อหนึ่งวัน แต่รวมแล้วต้องกักขังไม่เกิน 1 ปี เว้นแต่กรณีอัตราค่าปรับสูงเกิน 80,000 บาท ให้กักขังแทนค่าปรับได้เกิน 1 ปี แต่ห้ามเกิน 2 ปี
ดังนี้ การจะกักขังแทนค่าปรับนั้นต้องได้ความว่ามีการลงโทษปรับเกิน 200 บาท
หากกักขังครบจำนวนค่าปรับ หรือมีการนำค่าปรับมาชำระครบถ้วน ให้ปล่อยตัวผู้ถูกกักขังทันที
7. การริบทรัพย์สิน มีหลักดังนี้
7.1 ทรัพย์สินที่ศาลมีอำนาจสั่งริบได้ มีสามประเภท
(1) ต้องริบเสมอ ตามปอมาตรา ๓๒ ซึ่งวางหลักว่า ทรัพย์สินที่ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าเป็นของผู้กระทำความผิด หรือมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ กรณีนี้พิจารณาที่ตัว "ทรัพย์" เป็นหลัก ว่าโดยสภาพของทรัพย์นั้น ต้องห้ามโดยกฎหมายหรือไม่ เช่น ยาเสพติด ปืนเถื่อน(ทางปฏิบัติ สองอย่างนี่แหละเยอะสุด) หรือสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าเป็นทรัพย์ประเภทนี้ ริบสถานเดียว
(2) เป็นดุลพินิจของศาลที่จะริบหรือไม่ก็ได้ ทรัพย์สินประเภทนี้ได้แก่ทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อกระทำความผิด หรือได้มาจากการกระทำความผิด โดยทั่วไปแล้ว ทรัพย์เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย เพียงแต่ถูกใช้เพื่อกระทำผิดกฎหมาย หรือได้มาโดยมิชอบ เช่น เอาปืนมีทะเบียนไปลักทรัพย์ หรือเงินจากธนาคารที่ปล้นมาได้ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี หากพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์เหล่านี้เป็นของผู้ซึ่งไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดเลย ศาลจะไม่ริบก็ได้ เช่น ทรัพย์ของเหยื่อ(กรณีปล้นมา) หรือมาพิสูจน์ได้ว่าตอนที่ให้ยืมปืนเนี่ยไม่รู้จริงๆนะว่าคนยืมมันจะเอาไปฆ่าคน ไรงี้
(3) ลูกผสม ตามหลักคือต้องริบ เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าเป็นของผู้ไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย ซึ่งกรณีนี้จะเป็นความผิดเกี่ยวกับการให้สินบนเจ้าพนักงาน หรือการให้รางวัลจูงใจให้มีการกระทำความผิด ปกติเงินส่วนนี้ต้องริบเสมอ เว้นแต่มีผู้มาอ้างว่าเงินจำนวนนี้เป็นของตนซึ่งตนไม่รู้จริงๆว่ามีการให้สินบนกัน
...........ความเห็นส่วนตัว - ท่าทางจะพิสูจน์ยาก
7.2 การขอคืนของกลาง จะเห็นได้ว่าจากข้อ 7.1 กรณีที่สองและสามนั้น เจ้าของทรัพย์ที่แท้จริงสามารถขอให้ปล่อยของกลางหรือขอคืนของกลางได้ โดยหลักการคือต้องยื่นคำขอดังกล่าวภายใน 1 ปี นับแต่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด โดยต้องกล่าวอ้างและนำสืบพิสูจน์ให้ศาลเชื่อให้ได้ว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนจริงๆ ไม่ใช่ของผู้กระทำความผิด และตนไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยเลยกับการกระทำผิดนั้น เช่น ไม่รู้จริงๆว่าทรัพย์ตนจะถูกใช้ในการกระทำความผิด หรือเก็บทรัพย์ไว้ดีแล้วแต่ผู้กระทำความผิดมาหยิบไปเอง
ข้อควรระวัง การแค่เตือนเฉยๆและไม่เก็บให้ดี ปล่อยให้ผู้อื่นเอาทรัพย์ไปกระทำความผิด เคยมีคำพิพากษามาแล้วว่า ถือว่ามีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิด
7.3 การริบทรัพย์ กรณีศาลสั่งริบทรัพย์แล้วไม่ส่งทรัพย์ที่สั่งริบ ศาลมีอำนาจสั่งยึด ให้ใช้ราคาเท่ากับทรัพย์นั้น หรือกักขังผู้ถูกสั่งริบทรัพย์ได้
8. สุดท้ายและท้ายสุด โทษทางอาญาเป็นอันระงับไปด้วยความตายของผู้กระทำความผิด
อย่างไรก็ดี กรณีริบทรัพย์สิน แม้ผู้กระทำผิดตายก็ต้องริบ เว้นแต่จะได้ความว่าทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์ตามมาตรา ๓๓ (ข้อ 7.1 (2)) ซึ่งตกทอดแก่ทายาทผู้ไม่ได้รู้เห็นด้วยในการกระทำความผิด
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น