วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การดำเนินคดีอาญา (2) : แจ้งความ




     เอาล่ะ  ในที่สุดเราก็รู้แล้วว่า  เราเป็นผู้เสียหายในทางอาญาจริงๆ  งั้น  เราก็ควรลงมือดำเนินคดีกันได้แล้ว  มัวแต่คอยท่าไป  คดีขาดอายุความขึ้นมา  เราจะหมดสิทธิ์นำตัวคนผิดมาลงโทษ

     ยังไม่อยากฟ้องศาล  งั้นเริ่มที่การแจ้งความละกัน


     คำถามต่อไป  แล้วมันต้องทำยังไงบ้างล่ะ???

     มาว่ากันทีละขั้น



     แจ้งที่ไหนและกับใคร

     คนเรามักเข้าใจว่า  จะแจ้งความต้องไปโรงพัก  หรือชื่อเต็มคือ  สถานีตำรวจ  ซึ่งก็ไม่ผิด  แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

     ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา 123  บัญญัติว่า  "ผู้เสียหายอาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้..."  

     แล้วพนักงานสอบสวนคือใครกันล่ะ?


     นิยามศัพท์ตามมาตรา 1  มีว่า  พนักงานสอบสวนคือ  เจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายให้มีอำนาจและหน้าที่ในการสอบสวน
     ...โอเค  ขอบคุณมาก  มึนตึ้บ...

     ในทางปฏิบัติน่ะนะ  ผู้ที่รับการร้องทุกข์หรือการแจ้งความของเราได้เนี่ย  นอกจากตำรวจแล้วก็มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองด้วย  ซึ่งได้แก่  ผู้ใหญ่บ้าน  กำนัน  นายอำเภอ  ปลัดอำเภอ  หรือผู้ว่าราชการจังหวัด
 
     แต่ถ้าหาสำนักงานยุ่งยากนัก  ก็เดินเข้าโรงพักไปเลยก็ได้  ง่ายดี  


     แล้วก็  แม้กฎหมายจะกำหนดไว้ว่า  ตำรวจชั้นร้อยตำรวจตรีเท่านั้นที่มีอำนาจสอบสวนได้  แต่การแจ้งความไม่ได้อยู่ในขั้นตอนของการสอบสวน  ดังนั้น  เราสามารถแจ้งความกับตำรวจได้ทุกคนและทุกยศ

     เดินเข้าโรงพักไป  เห็นตำรวจคนไหนว่างก็เดินเข้าไปเลย  ไม่ต้องถามยศหรอก  ยุ่งยาก  


     เกือบลืม  เจ้าหน้าที่อื่นนอกจากตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองไม่มีอำนาจรับแจ้งความนะคะ  อย่าได้ไปแจ้งกับพวกรัฐมนตรีหรือนายกเชียว  ท่านไม่มีอำนาจนั้น
     ไปแจ้งผู้พิพากษาก็ไม่ถือว่าแจ้งความ  ถ้าอยากไปศาลขนาดนั้น  ฟ้องคดีไปเลยเถอะ
   

    สรุปว่าไปแจ้งกับตำรวจที่สถานีตำรวจเนอะ  จะได้ไปหัวข้อต่อไป  



     แจ้งเมื่อไหร่

     สั้นๆนะ  "เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้"  

     ดังที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่า  การดำเนินคดีทางอาญานั้นมีอายุความในการดำเนินคดีกำกับอยู่  ซึ่งหากเราปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยไม่ทำอะไรเลย  จนหมดเวลาฟ้อง/แจ้งความ/ดำเนินคดี

     ต่อให้อีกฝ่ายผิดจริง  หลักฐานครบ  ชั่วช้าแค่ไหน  

     ยังไงก็หลุด...นะคะ  (อายุความเป็นปัญหาความสงบเรียบร้อยในทางอาญาเสียด้วยสิ)

     ในฐานะปุถุชนธรรมดาผู้ยังละกิเลสไม่ได้มากนัก  เราคงไม่ใจดีขนาดปล่อยเวลาล่วงไปเพื่อให้อภัยผู้กระทำผิดหรอกใช่ไหม?

     แล้วอายุความนี่มันมีกำหนดเท่าไหร่บ้างล่ะ


     เอ้ออ  คือมันจะมีอายุความสั้น  กับอายุความยาวนะ  มาเริ่มที่อายุความสั้นกันก่อน  

     1.  ในกรณีความผิดต่อส่วนตัว  หากผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์หรือฟ้องคดีภายใน 3 เดือน นับแต่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำผิด  คดีเป็นอันขาดอายุความ  (ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96)

     ในกรณีที่ความผิดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดส่วนตัว  เราต้องร้องทุกข์หรือแจ้งความ  หรือฟ้องศาลภายใน 3 เดือน  นับแต่เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  และ  รู้ว่าใครเป็นคนทำ  ไม่อย่างนั้น  กฎหมายบัญญัติให้สิทธิในการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดสิ้นลงทันทีที่เลยระยะเวลา 3 เดือนที่อาจดำเนินการได้ไปแล้ว  

     ส่วนความผิดต่อส่วนตัวเป็นอย่างไรและมีอะไรบ้างนั้น..

     เชิญอ่าน  http://tryfaytry.blogspot.com/2016/03/blog-post_23.html  (ความผิดต่อแผ่นดิน กับ ความผิดต่อส่วนตัว)

     แต่หากเป็นความผิดต่อแผ่นดินแล้ว  อายุความจะเป็นไปตามข้อถัดไป  อย่างไรก็ดี  หากไม่แน่ใจว่าตัวเองโดนดีข้อหาอะไรกันแน่  แนะนำว่าวิ่งไปแจ้งความไว้ก่อนเถอะ  ประเดี๋ยวหวยออกเป็นความผิดต่อส่วนตัวมา  จะได้ไม่โดน  technical  knockout  ทางกฎหมาย


     2.  อายุความสำหรับดำเนินคดีทั่วไป

     กรณีนี้จะเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 95  ซึ่งระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับอัตราโทษของความผิด  ดังนี้

     การดำเนินคดีนั้น  จะต้องฟ้องและได้ตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษภายใน...ปี  มิฉะนั้นถือว่าขาดอายุความ  โดยมีระยะเวลาแปรผันตามอัตราโทษดังนี้

     -  20 ปี  สำหรับความผิดที่มีโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต  หรือระวางโทษจำคุก(ตั้งแต่)ยี่สิบปี(ขึ้นไป)

     -  15 ปี  สำหรับความผิดที่มีโทษจำคุกกว่า 7 ปี แต่ไม่ถึง 20 ปี

     -  10 ปี  สำหรับความผิดที่มีโทษจำคุกกว่า 1 ปี แต่ไม่ถึง 7 ปี

     -  5 ปี  สำหรับความผิดที่มีโทษจำคุกกว่า 1 เดือน แต่ไม่ถึง 1 ปี

     - 1 ปี สำหรับความผิดที่มีโทษจำคุกหนึ่งเดือนลงมา  หรือมีโทษอื่นที่ไม่ใช่จำคุก


     และหากเป็นความผิดต่อส่วนตัว  ท่านจะต้องผ่านข้อ 1 มาแล้ว  นั่นคือ  ต้องมีการแจ้งความหรือฟ้องคดีภายใน 3 เดือน มาก่อนแล้ว  มิเช่นนั้น  หมดสิทธิ์

     ส่วนความผิดต่อแผ่นดินนั้นจะใช้อายุความตามข้อนี้แต่ประการเดียว  เพราะฉะนั้น  อยากเอ้อระเหยลอยชายไปเรื่อยๆแล้วค่อยมาแจ้งความ/ฟ้อง 1 วันก่อนขาดอายุความ  ก็เรื่องของคุณ

     แต่  อย่าลืมนะ  ยิ่งเวลาล่วงไป  คนร้ายยิ่งตามยาก  และหลักฐานก็ยิ่งหายากนะ



     แจ้งยังไง  

     โอ้  ข้อนี้สำคัญ  ถ้าแจ้งไม่ถูกนี่  ไปต่อไม่ได้เลยนะ

     อันที่จริง  ในทางกฎหมายเนี่ย  เราไม่เรียกว่า "แจ้งความ"  หรอกนะ  เราเรียกการกระทำนี้ว่า  "การร้องทุกข์"  ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้กำหนดนิยามไว้ในมาตรา 1 (7) ว่า

     "คํารองทุกข” หมายความถึงการที่ผูเสียหายไดกลาวหาตอเจาหนาที่ตาม บทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้วามีผูกระทําความผิดขึ้น จะรูตัวผูกระทําความผิดหรือไมก็ ตามซึ่งกระทําใหเกิดความเสียหายแกผูเสียหาย และการกลาวหาเชนนั้นไดกลาวโดยมีเจตนาจะให ผูกระทําความผิดไดรับโทษ"

     เป็นผู้เสียหายหรือเปล่าก็กล่าวไปแล้ว  เจ้าหน้าที่คือใครก็อยู่ด้านบน  งั้นมาว่ากันต่อเรื่องลักษณะของคำร้องทุกข์


     "..กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีผู้กระทำผิดขึ้น และทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย.."  ก็คือไปเล่า  หรือแจ้งน่ะแหละ  ว่าเกิดอะไรขึ้น  แล้วตัวเองเสียหายอะไร  

     จากนิยามจะเห็นได้ว่า  เราไม่จำเป็นต้องรู้ตัวว่าใครเป็นผู้กระทำผิดก็ได้  แต่ทางที่ดี  ถ้ารู้อะไรเกี่ยวกับคนร้าย  เช่น  รูปพรรณสัณฐาน  ลักษณะ  รถ  ความสูง  อะไรแบบนี้ก็ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ไปให้หมด  เขาจะได้ตามจับคนร้ายได้ง่ายขึ้น


     "..โดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ"  ข้อนี้แหละสำคัญ  อย่าได้พูดเชียวว่า  "มาแจ้งไว้เป็นหลักฐานเฉยๆ"  "มาแจ้งเพราะกลัวขาดอายุความ"  "ไม่เอาเรื่องหรอกค่ะ  แค่มาแจ้งเฉยๆ"  หรืออะไรแนวๆนี้  เพราะกฎหมายจะถือว่าคุณไม่มีเจตนาจะให้คนทำผิดต้องรับโทษ 

     ส่งผลให้คำร้องทุกข์ดังกล่าวเป็นคำร้องทุกข์ที่ไม่ชอบตามกฎหมาย

     ผลน่ะเหรอ?  แยกได้เป็น 2 กรณี นะ


     1.  กรณีความผิดต่อแผ่นดิน  :  กรณีนี้ความเสี่ยงจะต่ำหน่อย  โอเค  แม้เราจะร้องทุกข์ไม่ถูก  เราก็ยังมีสิทธิฟ้องคดีเองได้  และพนักงานสอบสวนก็ยังมีสิทธิ์ทำการสอบสวนได้เช่นกัน  

     แต่  ตามมาตรา 122  นั้น  ได้ให้สิทธิพนักงานสอบสวนที่จะไม่ทำการสอบสวนได้  หากผู้เสียหายไม่ยอมร้องทุกข์ตามระเบียบ  ก็คือไม่ยอมร้องทุกข์ให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด

     สมมติถูกจี้ชิงทรัพย์  แล้วไปแจ้งความบอกว่า  "ไม่เอาเรื่องค่ะ"  ตำรวจก็อาจจะ  อ่ะ  งั้นไม่สอบสวนล่ะกัน  พอไม่สอบ  ก็ไม่ส่งให้อัยการฟ้อง  แล้วถ้าคนแจ้งกลับบ้านสบายใจนึกว่าเดี๋ยวอัยการก็ฟ้องให้  ไม่ทำอะไรเลย
     จบเห่ค่ะ  ไม่ต้องเป็นความกันเลย

     คิดจะเอาความก็ทำให้มันสุดๆไปเถ้ออ  อย่าอะไรครึ่งๆกลางๆเลยนะ


     2.  กรณีความผิดต่อส่วนตัว  :  อันนี้สิเสียหายหนัก  ตัดกรณีผู้เสียหายฟ้องเองไปก่อนนะ 

     สมมติถูกหมิ่นประมาท(ใช่ค่ะ  หมิ่นประมาทเป็นความผิดต่อส่วนตัว)  ไปแจ้งแบบ..ข้างบน  ไม่แสดงเจตนาเอาคนร้ายมาลงโทษ  ถือว่าเป็นคำร้องทุกข์ที่ไม่ชอบ

     พอร้องทุกข์ไม่ชอบ  ก็เท่ากับไม่มีการร้องทุกข์  

     ตามมาตรา 121  ห้ามพนักงานสอบสวนทำการสอบส่วนคดีความผิดต่อส่วนตัวที่ไม่มีการร้องทุกข์ตามระเบียบ
     เมื่อไม่มีการร้องทุกข์  พนักงานสอบสวนก็สอบสวนไม่ได้  

     ถึงดำเนินการสอบสวนไปก็ถือว่าเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบ  เท่ากับไม่มีการสอบสวน

     ตามมาตรา 120  ห้ามพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลโดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน
     ...เมื่อพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนไม่ได้  ก็ส่งอัยการฟ้องไม่ได้
     ...ต่อให้ทำการสอบสวนไปและส่งให้อัยการฟ้องแล้ว  เมื่อศาลพิจารณาพบว่าการร้องทุกข์ไม่ชอบ  ถือว่าไม่มีการร้องทุกข์  เท่ากับสอบสวนโดยไม่มีการร้องทุกข์  ขัดต่อกฎหมาย  อัยการไม่มีอำนาจฟ้อง  
     ยกฟ้อง!  

     แล้วอย่าลืมว่า  เวลามันเดินไปเรื่อยๆ  จะกลับมาร้องทุกข์(แจ้งความ)ใหม่ก็อาจขาดอายุความไปแล้ว


     เสียหายมั้ย...........เสียหายนะ  


   
    จะเห็นได้ว่าการแจ้งความให้ถูกต้องตามกฎหมายมีความสำคัญต่อการดำเนินคดีในทางอาญาอยู่มาก  เพราะมันคือการดำเนินการขั้นแรกที่นำไปสู่การฟ้องคดีต่อไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  หากต้องการดำเนินคดีโดยรัฐ  หรือให้พนักงานอัยการเป็นผู้ฟ้องคดีให้กับเรา  

    ด้วยเหตุนี้  จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เสียหายต้องแจ้งความให้ถูกต้องตามกฎหมาย  เพื่อจะได้นำตัวคนผิดมาลงโทษตามหลักกฎหมายต่อไป  

     ปล่อยให้การลดโทษเป็นหน้าที่ของศาลและกระบวนการยุติธรรมเถอะนะ  อย่าใจดีปล่อยคนร้ายไปเองด้วยการแจ้งความที่ไม่สมบูรณ์เลย



     ส่วนขั้นตอนหลังจากแจ้งความนั้นจะเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาล  ซึ่งจะได้กล่าวในโอกาสต่อไป 


     สวัสดี   
     

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การดำเนินคดีในทางอาญา (1) : ผู้เสียหาย



     หลังจากฟ้องคดีแพ่งกันไปแล้ว  เคราะห์หามยามร้าย  เราอาจต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีในทางอาญา....เพราะถูกละเมิดทางใดทางาหนึ่ง

     ......เอาเฉพาะถูกละเมิดก่อนนะ  ประเภทไปละเมิดเขานี่  ขอติดไว้ก่อนละกันว่าจะเขียนถึงยังไงดี

     จะทราบมาก่อนหรือไม่ทราบมาก่อนก็แล้วแต่  สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรจะทำ  นั่นคือยึดหลักการฟ้องตามหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแบบ 100 เปอร์เซนต์

 
     ทำแบบนั้นไม่ได้  มันไม่เหมือนกัน!!!


     แม้หลักการดำเนินคดีอาญาบางอย่างจะนำหลักการของทางแพ่งมาใช้โดยอนุโลม  แต่โดยหลักแล้ว  การดำเนินคดียังคงต้องเดินตามหลักของกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอยู่

     แล้วมันทำยังไงล่ะ???

     ไล่ดูตามด้านล่างเอาเลย



     จุดเริ่มต้นแห่งคดีอาญา

     จุดเริ่มต้นของการฟ้องคดีแพ่ง  มาจากการเกิดข้อโต้แย้งสิทธิหรือความต้องการใช้สิทธิในทางแพ่ง  เช่นเดียวกัน  จุดเริ่มต้นในทางอาญานั้นมาจาก  การมีความผิดในทางอาญาเกิดขึ้น...

     และมีใครสักคนหนึ่งเป็นผู้เสียหาย

     ความมันก็เริ่มตรงนี้แหละ


     ส่วน...ความผิดทางอาญานั้นก็เช่น  ฆ่าคนตาย  ทำร้ายร่างกาย  ลักขโมย  จี้ปล้น  ฉ้อโกง  หมิ่นประมาท  บุกรุก  ฯลฯ
     ตัวอย่างของความผิดทางอาญา  ท่านสามารถหาได้จากหนังสือพิมพ์ทั่วไปในหน้าอาชญากรรม  หรือไม่ก็หน้าหนึ่งนะคะ



     เอาล่ะ  มีความผิดทางอาญาเกิดขึ้น  และมีใครสักคนหนึ่ง  ต้องเสียหายจากการนี้

     เอาไงต่อดี??


     แจ้งความ....?


     ถูกต้อง  ทางเลือกหนึ่งของการจัดการปัญหา  คือไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่า  เกิดอะไรขึ้น  จากนั้นก็ให้ทางการดำเนินการสอบสวนหาตัวคนร้ายมาจัดการ  เอ้อ  มาดำเนินคดีและ/หรือ  ลงโทษกันต่อไป

     อันที่จริง  เราไม่ต้องไปแจ้งความก็ได้นะ  เพราะถ้าเราเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงแล้วล่ะก็  เรามีอำนาจดำเนินคดีได้เอง  นั่นคือ  เราสามารถฟ้องศาลให้ศาลลากตัวคนผิด(แต่ดูเหมือนการลากตัวก็ต้องใช้ตำรวจอยู่ดีแฮะ)มาลงโทษได้เองเลย

     คำถามคือ  แล้วเราเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงหรือเปล่า??


     มีข้อพิจารณาดังนี้



     ผู้เสียหาย

     ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา 2(4)  ผู้เสียหาย  หมายถึง  ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำผิดทางอาญาฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งผู้มีอำนาจจัดการแทน...

     นั่นคือนิยามตามกฎหมาย  แต่ในทางปฏิบัติแล้ว  จะเป็นผู้เสียหายได้จะต้องมีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นอีกอย่าง  นั่นคือ  ต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย  อันหมายถึง  ไม่มีส่วนร่วมในการการทำความผิดดังกล่าวนั้นด้วย

     มาพิจารณากันทีละข้อ

     1.  จะเป็นผู้เสียหายได้  ต้องมีสภาพบุคคล  :  เพราะตัวบทใช้คำว่า  "ผู้ที่"  ดังนั้นจึงต้องเป็น  "คน"  ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา  หรือนิติบุคคลก็ตาม

     บริษัทต่างๆ  นั้นโดนละเมิดกฎหมายได้

     แต่สัตว์และพืชซึ่งไม่มีเจ้าของ  แม้จะโดนฆ่า  โดนตัด  อย่างไร  ก็ไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีอาญา
     ....แต่จะเอาผิดคนทำได้ไหมต้องดูว่ามีกฎหมายอื่นๆห้ามทำไว้หรือเปล่า


     2.  ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิด  :  คือผู้ที่ได้รับความเสียหายจริงๆ  ไม่ใช่บุคคลอื่น

     ทำร้ายลูก  ลูกเป็นผู้เสียหาย  ส่วนพ่อแม่  แม้จะอ้างว่าเจ็บกว่า  ก็ไม่ถือเป็นผู้เสียหายนะคะ  (เว้นแต่ถูกฟันไปด้วย  ก็อีกเรื่อง)

     และการกระทำหนึ่งๆอาจมีผู้เสียหายคนเดียวก็ได้  หรือมีหลายคนก็ได้  เช่นเรื่องทรัพย์  สมมติเราเช่าหนังสือมาอ่าน  แล้วมีคนมาขโมยหนังสือเล่มนั้น  กรณีนี้จะมีผู้เสียหายสองคน  หนึ่งคือเรา  ผู้เช่าและใช้สอย(อ่าน)หนังสือ  สองคือร้านเช่าหนังสือ  ซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริง
     เพราะตามแนวฎีกา  ผู้มีสิทธิครอบครองทรัพย์ถือเป็นผู้เสียหายด้วยในคดีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์


     3.  เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย  :  คือไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด  เช่นพวกโกงน่ะ  แบบมีคนมาหลอกว่าถ้าให้เงินไปจะวิ่งเต้นให้  ต่อมาคนอาสาวิ่งเต้นเชิดเงินหนี  แบบนี้คนให้ไม่เป็นผู้เสียหายนะคะ  ถือว่ารู้เห็นเป็นใจให้มีการวิ่งใต้โต๊ะ

     เห็นชัดกว่านั้นก็พวกนักเรียนนักเลง  ตีกันตรงป้ายรถเมย์  ไรงี้  กรณีนี้ต่างฝ่ายต่างไม่มีสิทธิฟ้องอีกฝ่ายนะ  เพราะสมัครใจทะเลาะวิวาท  ซึ่งถือได้ว่ามีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วย

     เมื่อไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย  จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่แท้จริง


     4.  ผู้มีอำนาจจัดการแทน  มาตรา 2(4)  ได้แจงไว้สามมาตราด้วยกัน

4.1  มาตรา 4  :  "สามีมีสิทธิฟ้องคดีแทนภริยาได้  ต่อเมื่อได้รับอนุญาตโดยชัดแจ้งจากภริยา"

     คาดว่าน่าจะมาจากสมัยโบราณที่สามีเป็นช้างเท้าหน้า  สามารถจัดการอะไรๆแทนคู่ตัวเองได้  แม้สมัยนี้ไม่ได้จำกัดสิทธิผู้หญิงอีกต่อไป  แต่ก็ยังเปิดโอกาสให้ผู้เป็นสามีได้ทำหน้าที่อยู่เช่นเดิม

     อ่อ  กลับกันไม่ได้นะ  ต่อให้ได้รับอนุญาตชัดแจ้งจากสามี  ภริยาก็ไม่มีสิทธิฟ้องคดีแทน
     ...เว้นแต่มอบอำนาจ...

     เกือบลืม  ความเป็นสามีภริยาต้องชอบด้วยกฎหมายนะคะ  คือต้องจดทะเบียนสมรสเท่านั้น


4.2  มาตรา 5  :   แยกเป็นสามอนุด้วยกัน

     (1)  ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล  กรณีความผิดอาญาเกิดแก่ผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถ  :  ท่าทางต้องอธิบายกันยาว....

     ผู้แทนโดยชอบธรรม  :  โดยทั่วไป  คือแม่  และพ่อที่ชอบด้วยกฎหมายค่ะ(พ่อที่จดทะเบียนสมรสกับแม่  หรือรับรองบุตรแล้วตามกฎหมาย)  เว้นแต่กรณีไม่มีพ่อแม่  ผู้แทนโดยชอบธรรมกรณีนี้อาจเป็นบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากศาลให้ดูแลผู้เยาว์แทน  ซึ่งอาจเป็นใครก็ได้
    ...และเผื่อใครสงสัย  บุคคลผู้เบ่งท้องคลอดเด็กออกมาถือเป็นบุพการีโดยชอบด้วยกฎหมายเสมอ

     ผู้เยาว์  :  คือผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ  หรือคือบุคคลที่อายุยังไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์

     ผู้ไร้ความสามารถ  :  คือผู้ซึ่งไม่สามารถดูและตัวเองได้  และ  ถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถแล้ว  (ต้องศาลสั่งเท่านั้น)
     เช่น  ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่จำอะไรไม่ได้เลย  คนพิการ  หรือผู้ประสบเหตุเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายนิทราทั้งหลาย  และ  เอ้อ  คนบ้า  ก็รวมด้วย  แต่ศาลต้องสั่งให้เขาเป็นบุคคลไร้ความสามารถก่อนเท่านั้น

     ผู้อนุบาล  :  (ตั้งใจอธิบายผู้ไร้ฯก่อน  เกรงว่าขึ้นผู้อนุบาลเลยจะงง)  คือผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาลให้ดูแลและทำการแทนผู้ไร้ความสามารถ

     บุคคลผู้จัดการแทนเหล่านี้จัดการแทนได้ทุกความผิดที่เกิดแก่ผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถ  โดยมีข้อแม้ประการเดียวคือ  ตัวผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถต้องยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น  ถ้าตายแล้วจะไม่เข้ากรณีที่ 1 นี้


     (2)  ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา  ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้  :  เริ่มอธิบายศัพท์ก่อนเลย

     ผู้บุพการี  :  พ่อ  แม่  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  ทวด(พ่อแม่ของปู่ย่าตายาย)  คือ  เข้าใจอารมณ์ป่ะ  สายของผู้ให้กำเนิดไล่ขึ้นไปอ่ะ
     ....และในกรณีที่สองนี้ถือสายเลือดกันตามความเป็นจริง....

     ผู้สืบสันดาน  :  ลูก  หลาน  เหลน  ลื่อ  ตรงข้ามกับบุพการี  อันนี้ไล่ลง  และถือตามความเป็นจริงเช่นกัน

     สามีหรือภริยา  :  พูดง่ายๆคือ  คู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย  คือที่จดทะเบียนสมรสโดยชอบแล้ว

     กรณีนี้เป็นการจัดการทางคดีแทนบุคคลซึ่งถูกละเมิดทางอาญาจนไม่สามารถดำเนินคดีด้วยตนเองได้  และจำกัดสิทธิเฉพาะความผิดทางอาญาที่ทำให้ตัวผู้เสียหายไม่สามารถจัดการได้เองเท่านั้น

     เช่น  ลูกถูกฆ่าตาย  พ่อแม่แจ้งความ  ฟ้องศาล  ดำเนินคดีแทนลูกในความผิดฐานฆ่า(ลูกตัวเอง)ได้เลย

     แต่  ถ้าลูกข่มขืน  แล้วฆ่าตัวตายเอง  อันนี้พ่อแม่ฟ้องฐานข่มขืนแทนลูกไม่ได้นะ  เพราะลูกไม่ได้ตายด้วยเหตุถูกข่มขืน

     หรือ  ลูกถูกโกง  กำลังจะไปแจ้งความดันถูกรถชนตาย  อันนี้พ่อแม่จะดำเนินคดีแทนลูกฐานฉ้อโกงก็ไม่ได้เช่นกัน
     (มีใครโมโหกับช่องว่างของกฎหมายที่สามารถปล่อยคนร้ายลอยนวลได้ง่ายๆแบบคนเขียนมั้ย?)


     (3)  ผู้จัดการแทนนิติบุคคล  สำหรับความผิดที่กระทำต่อนิติบุคคล  :  ตัวอย่างง่ายๆเช่น  มีพนักงานโกงเงินของบริษัทไป  ตอนนี้บริษัทเป็นผู้เสียหายที่ถูกโกงเงินละ  แต่นิติบุคคลไม่ใช่คนธรรมดาที่สามารถทำโน่นทำนี่ได้เองแบบคนทั่วไปถูกไหม  แล้วทำไง

     คำตอบคือ  ก็ให้ผู้แทนหรือตัวแทนของนิติบุคคล  เช่นกรรมการ  หรือเจ้าของบริษัทอาจจะไปจ้างทนายเข้ามา  เพื่อดำเนินคดีนี้แทน  ก็ได้  จบ


4.3  มาตรา 6  :  ผู้แทนเฉพาะคดี  กรณีที่ความผิดเกิดแก่  ผู้เยาว์(1)  บุคคลวิกลจริต(2)  หรือผู้ไร้ความสามารถ(3)  แต่บุคคลเหล่านี้ไม่มีผู้จัดการแทน  หรือมี  แต่ผู้จัดการแทนดังกล่าวไม่สามารถจัดการแทนได้  ด้วยเหตุต่างๆ  เช่น  ไม่รู้หายหัวไปไหน  หรือผลประโยชน์ขัดกัน  กรณีนี้ญาติหรือผู้เกี่ยวข้องของผู้เสียหายสามารถร้องขอต่อศาลให้เขาหรือใครก็ตามเป็นผู้จัดการแทนผู้เสียหายได้

      เช่น  พ่อเลี้ยงทำร้ายลูกเลี้ยง  หากแม่หลงหรือกลัวสามีมากจนไม่กล้าทำอะไร  ยายอาจร้องต่อศาลให้ตั้งตัวเองดำเนินการฟ้องพ่อเลี้ยงแทนตัวแม่ก็ได้

     ข้อแม้ประการเดียวของมาตรานี้คือ  ตัวผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถต้องยังมีชีวิตอยู่  เพราะถือว่าอำนาจตรงนี้อิงกับตัวผู้เสียหายโดยตรง  หากผู้เสียหายตายอำนาจจัดการแทนย่อมหมดไปด้วย


     นั่นคือข้อพิจารณาคร่าวๆว่า  เราเป็นผู้เสียหายและมีสิทธิดำเนินคดีนี้หรือไม่  หากพิจารณาแล้วพบว่าคุณสมบัติครบ  ก็เดินหน้าข้อต่อไปได้เลย...



     ชักจะยาว  ต่อตอนหน้าละกันนะคะ...